วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทดสอบการส่งงาน

ทดสอบการส่งงานครั้งที่ 1 ที่นี่

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันฮาโลวีน

"วันฮาโลวีนนั้น"ถ้าจะแปลเอาความกันก็ได้แก่ "วันก่อนวันศักดิ์สิทธิ์" ของชาวคริสต์หรือวันสุกดิบหนึ่งวันก่อนหน้าวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกกำหนดให้ "วันออล เซนต์ส เดย์" หรือวันศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นวันฉลองบรรดานักบุญต่าง ๆ ที่เริ่มกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 ดังนั้น เทศกาลฮาโลวีนนี้ชาวคาทอลิกจึงพากันเข้าโบสถ์ไปทำพิธีสวดกันเหนื่อยนานกว่าปกติสักหน่อย และในเวลาเดียวกันก็มีการร่วมฉลองแก้เหนื่อย หรือทำให้มันเหนื่อยหนักขึ้นพร้อม ๆ กันไปด้วย
คติเดิมในการจัดวันฮาโลวีนนี้มีย้อนหลังไปก่อนคริสต์กาล สมัยก่อนที่คริสต์ศาสนาจะแพร่ขยายเป็นที่นับถือกันไปทั่วยุโรปนั้น ชาวเผ่าเซลท์ที่อาศัยอยู่ในยุโรปตอนเหนือ และยุโรปตะวันตก ซึ่งนับถือดวงอาทิตย์เป็นพระเจ้าได้ถือเอาวันที่ 31 ตุลาคมเป็นวันสิ้นปีเก่าของพวกตน ที่ต้องมีพิธีส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยการละเล่นรอบกองไฟ
ช่วงปลายเดือนตุลาคมนั้น ก็ยังเป็นระยะสิ้นสุดการเก็บเกี่ยวของชาวเผ่าเซลท์ครั้งกระโน้น ใบไม้ตามไพรพฤกษ์ก็ปลิดตัวจากขั้วร่วงหล่นลงกองกับพื้นดิน แสดงสัญญาณว่า ฤดูหนาวกำลังย่างใกล้าเช้ามาแล้ว และราตรีก็กำลังสยายปีกแผ่คลุมโลกยาวนานกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ ของปี จึงเป็นช่วงที่นักบวชดรูอิสของชาวเซลท์จะเริ่มทำพิธีบนบวงพระอาทิตย์ผู้เป็นเจ้าที่กำลังจะมาเยือนโลกสั้นลง พร้อมกันไปกับงานรื่นเริงปลอบใจผู้คนส่งท้าย
เวลาเดียวกันนี้ ก็เป็นยามที่บรรดาแกะและสัตว์เลี้ยงทั้งหลายที่ปล่อยทิ้งให้เล็มหญ้าหากินตามท้องทุ่งถูกต้อนกลับเข้าคอก ชาวเซลท์ก็จะเริ่มปรับปรุงกฎหมายของตน และมีการต่อสัญญาเช่ากันในโอกาสนี้ด้วยและเนื่องจากพฤศจิกายนเป็นเดือนที่กลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน ความมืดที่อ้อยอิ่งมาช้านานหลายเดือนในแถบยุโรปเหนือ ทำให้คติของความเชื่อและการฉลองปรากฏออกมาในรูปของภูตผีปิศาจ เรื่องของพ่อมดหมอผีเทพธิดาที่จะปรากฎออกมากันชุกชุมอยู่บนโลกตามบรรยากาศแห่งความมืดมัว
ความเชื่อดังกล่าวนี้ยังมีอยู่แต่ดั้งเดิมด้วยว่าวันฮาโลวีนคือวันที่บรรดาวิญญาณผู้ทีสิ้นลมวายปราณไปในรอบปีที่ผ่านมานั้นจะได้รับการตัดสินความดีความชั่วที่ตนกระทำไปแล้วเมื่อยังมีชีวิตอยู่ และชดใช้บาปกรรมของตนโดยพระเจ้าแห่งความตาย
และเพราะเหตุนี้จึงถือกันว่า วันฮาโลวีนเป็นวันที่มีภูตผีปิศาจเพ่นพ่านอยู่ทั่วไป บรรยากาศของการจัดงานจึงเต็มไปด้วยเรื่องของภูตผีปิศาจ
ในอเมริกานั้น ยังมีความเชื่อกันอยู่ว่า แม้แต่ในทำเนียบขาวอันเป็นที่พักประจำตำแหน่งของประธานาธิบดี ยังมีอดีตประธานาธิบดีหลายท่านที่ล่วงลับไปแล้วมักชอบมาปรากฎตัวในวันฮาโลวีนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประธานาธิบดีจอห์น อดัมส์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เริ่มพำนักในทำเนียบขาว หรือแม้แต่อับราฮัม ลินคอร์น ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ของชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ และอาศัยในทำเนียบขาวในยุคสงครามกลางเมือง ก็ยังมีผู้เคยเห็นร่างอันสูงโย่งของท่าน ยืนปรากฏให้เห็นหลังบานหน้าต่างบานเดียวกันกับที่ท่านชอบยืนเมื่อมีท่านผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ในระหว่างสงครามกลางเมือง
สมัยโบราณ ชาวอังกฤษเป็นพวกที่รับประเพณีจัดงานวันฮาโลวีนไปจากพวกเผ่าเซลท์มากกว่าคนอื่น ๆ และนำเอาวันนี้มาใช้มากมายในโอกาสเกี่ยวกับเรื่องของการแต่งงาน การทำนายโชค สุขภาพ แม้กระทั่งความตายที่ถือกันว่า มีเพียงวันนี้วันเดียวที่วิญญาณภูตผีทั้งหลายจะช่วยบันดาลให้ตนสมใจปรารถนา
สาว ๆ อังกฤษสมัยโน้นจะออกไปหว่านและไถกลบเมล็ดป่านชนิดหนึ่งในยามเที่ยงคืนของวันฮาโลวีนพร้อมกับเสี่ยงสัตย์อธิษฐานด้วยการท่องคาถาว่า "เจ้าเมล็ดป่านที่ข้าหว่าน จงช่วยบันดาลให้ผู้ที่จะมาเป็นคู่ชีวิตจองข้าปรากฏตัวให้เห็น " และเมื่อทำต่อไปตามเคล็ด คือเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายของเจ้าหล่อน สายรายนั้น ๆ ก็จะได้เห็นถึงนิมิตเรือนร่างของผู้ที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของตน
เคล็ดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเอาแอปเปิลกับเหรียญชนิดหกเพนซ์ใส่ลงไปในอ่างน้ำ และหากใครสามารถแยกแยะของสองอย่างนี้ออกจากกันได้ด้วยปาก คาบเหรียญขึ้นมา และใช้ช้อนจิ้มแอปเปิลให้ติดเพียงครั้งเดียวจะถือว่า ผู้นั้นจะมีโชคดีไปตลอดปีใหม่ที่กำลังมาถึง
การฉลองเทศกาลวันฮาโลวีนในอเมรีกาที่มาเฟื่องฟูมากกว่าคนอื่น ๆ เขาในปัจจุบันนี้เริ่มมาแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1840 อันเป็นระยะที่ชาวไอริสเชื้อสายเซลท์ เดินทางอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกากันเป็นจำนวนมาก พวกเขาได้นำเอาประเพณีการฉลองวันฮาโลวีนติดมือมาด้วย
ตามเฉลียงหน้าบ้านเกือบทุกบ้าน จะมีลูกฝักทองที่คว้านไส้ออก และเจาะทำตาจมูก และปากที่แสยะยิ้ม วางไว้ต้อนรับโดยภายในฟักทองมีเทียนจุดตั้งอยู่ เราจะขึ้นไปที่หน้าประตูบ้านนั้น ๆ กดกริ่ง พอมีคนมาเปิดประตูให้ เราก็จะถามว่า "Take or Treat ? " หรือ "จะยอมให้ขนมเสียดี ๆ หรือจะต้องออกแรงแสดงอภินิหารกัน ? " แล้วเจ้าของบ้านก็จะเอาขนมมาแจกให้ หลังจากนั้นเราก็จะเดินทางต่อไปยังบ้านอื่น ๆ ขอขนมอย่างนี้จนกว่าจะอิ่ม หรือเมื่อย "
เคล็ดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเอาแอปเปิลกับเหรียญชนิดหกเพนซ์ใส่ลงไปในอ่างน้ำ และหากใครสามารถแยกแยะของสองอย่างนี้ออกจากกันได้ด้วยปาก คาบเหรียญขึ้นมา และใช้ช้อนจิ้มแอปเปิลให้ติดเพียงครั้งเดียวจะถือว่า ผู้นั้นจะมีโชคดีไปตลอดปีใหม่ที่กำลังมาถึง
คนไทยปัจจุบันรู้จัก เทศกาลฮัลโลวีน เหมือนกับที่รู้จักเทศกาลต่าง ๆ ตามประเพณีของชาวยุโรป เช่น อีสเตอร์ วันขอบคุณพระเจ้า และวันคริสต์มาส หรือวันวาเลนไทน์ ในคืนวันฮัลโลวีน สถานที่บันเทิงต่าง ๆ ในกรุงเทพมักจะจัดงานโดยเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวยามราตรีแต่งกายด้วยชุดแฟนซีสวมหน้ากากเป็นปิศาจรูปร่างต่าง ๆ กัน ดังจะเห็นได้จากประกาศเชิญชวนให้มาร่วมงานในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี

ประเพณีต่าง ๆ ที่ถือปฏิบัติว่าเป็นการฉลองเทศกาลฮัลโลวีน

Rick-or-Treating กิจกรรมนี้จัดเป็นกิจกรรมหลัก สำหรับเด็ก ๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในตอนกลางคืน เด็ก ๆ จะแต่งตัวด้วยหน้ากากผี และเดินไปเป็นกลุ่ม เพื่อเคาะประตูบ้านของเพื่อนบ้าน โดยกล่าวคำว่า trick or treat เพื่อนบ้านจะให้ขนม ลูกกวาด ผลไม้ หรือ เศษสตางค์ เด็กบางกลุ่มจะจัดกิจกรรม trick or treat นี้เพื่อองค์การยูนิเซพ (UNICEF) ซึ่งเป็นองค์การจัดหาเงินทุนเพื่อเด็กทั้งโลกที่ยากจนขององค์การสหประชาชาติ พวกเขาจะถือกล่องรับบริจาคเงินอย่างเป็นทางการขององค์การสหประชาชาติสีส้มดำ เพื่อนำเงินที่ได้จากการบริจาคไปจัดหาอาหาร ยารักษาโรค และการบริการด้านอื่น ๆ เพื่อเด็กที่ขาดเคลนทั้งโลก
เพื่อความปลอดภัยของเด็ก ๆ ที่ออกไปทำกิจกรรม trick or treat เด็ก ๆจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีอ่อน หรือเสื้อผ้าที่มีสีสะท้อนแสง เพื่อให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะมองเห็นได้ง่ายเป็นการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์อีกทางหนึ่ง ผู้ปกครองบางคนเกรงว่า การใส่หน้ากาก จะทำให้เด็ก ๆ มองเห็นได้ไม่ชัดเจน จึงนิยมใช้เครื่องสำอางแต่งปน้าให้เด็ก ๆ นอกจากนี้ผู้ปกครองมักจะเตือนให้เด็กๆ รับประทานเฉพาะขนมหรือลูกกวาดที่บรรจุในหีบห่ออย่างดีเท่านั้น ชุมชนบางแห่งประกาศเวลาการทำกิจกรรม trick or treat อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวรับการมาเยือนของเด็ก ๆ และเป็นการเตือนให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะได้ระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นพิเศษด้วย

Jack-O'-Lanterns การทำ Jack-O'-Lanterns คือ การคว้านเมล็ดในของผลฝักทองออกให้หมดแล้วเจาะด้านหนึ่งของผลฝักทองให้เป็นรูปหน้าคนโดยมี ตา จมูก และปาก และใส่เทียนไข หรือโคมไฟประเภทอื่น ๆ ไว้ภายใน เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้าน ชาวอังกฤษและชาวไอริชในสมัยโบราณเคยใช้หัวผักกาด (beets) มันฝรั่งและหัวเทอร์นิบ (turnips) เป็นโคมไฟในวันฮัลโลวีน เมื่อเทศกาลฮัลโลวีนแพร่หลายมาสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงเปลี่ยนมาใช้ผลฝักทองแทน
เหตุที่ได้ชื่อว่า Jack-O'-Lantern เนื่องมาจากชายคนหนึ่งที่ชื่อ Jack ซึ่งเป็นคนขี้เหนี่ยวมาก เมื่อเสียชีวิตไปเขาไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้และไม่สามารถเข้าไปในนรกได้เช่นกัน เนื่องจากเขาชอบ ล้อเล่นกับปิศาจ เมื่อเสียชีวิตลงเขาจึงต้องเดินเตร็ดเตร่อยู่บนโลก เพื่อรอวันพิพากษา (Judgement Day)

การทำนายโชคชะตา (Fortunetelling)
การทำนายโชคชะตา เริ่มขึ้นในยุโรปหลายร้อยปีมาแล้ว และกลายเป็นส่วนสำคัญในเทศกาลฮัลโลวีน การทำนายนี้ทำโดยการนำแหวนเงินเหรียญ หรือ ปลอกนิ้ว (สำหรับสตรีใส่เย็บผ้า) ไปซ่อนไว้ในขนมเค็กและอาหาร หากใครพบเหรียญจะเป็นผู้มีฐานะร่ำรวยในอนาคต ผู้ที่พบเหวนจะได้แต่งงาน ปัจจุบันนิยมทำนายโชคชะตาด้วยการอ่านจากไพ่หรือการอ่านลายมือมากกว่า
นอกเหนือจากกิจกรรมต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว ในประเทศอังกฤษมีการเล่นเกมส์คาบแอปเปิล เพื่อเป็นรางวัลแก่ผู้ชนะอีกด้วย
ในอดีตคนส่วนใหญ่เชื่อว่า ปิศาจจะออกมาท่องเที่ยวในโลกมนุษย์ในคืนวันที่ 31 ตุลาคมเพื่อทำพิธีบูชาปีศาจทั้งหลาย แม้ว่าในปัจจุบัน ไม่มีใครเชื่อในเรื่องพ่อมดแม่มดหรือภูติผีปิศาจ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในวันฮัลโลวีนก็ยังคงเป็นการแต่งกายเป็นปีศาจหรือพ่อมดแม่มดอยู่เช่นที่เคยปฏิบัติมา

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของชีวิต ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการให้คำแนะนำด้านสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายดังต่อไปนี้

วิตามินดี
มีการวิจัยว่าการขาดวิตามินดีเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระดูกเปราะ ซึ่งจะทำให้หลังค่อมในผู้สูงอายุ กระดูกแตก เปราะ ดังนั้น นมเป็นแหล่งวิตามินดีที่ดีที่สุด

ธาตุเหล็ก
ผู้หญิงมีความต้องการธาตุเหล็กมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีการเสียเลือดทุกเดือน จากการมีรอบเดือน ซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก และหากได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ท่านจะมีอาการเหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ อาจทำให้เป็นโรคโลหิตจาง อาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ อาหารจำพวกเนื้อแดง ปลา ธัญพืช ผักขม พืชกระกูลถั่ว และผักต่าง ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชที่มีวิตามินซีสูง เช่น พริกไทย มะเขือเทศ พืชจำพวกมะนาว กะหล่ำปลี และมันฝรั่ง

คลเซียม
เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทำให้กระดูกแข็งแรง ผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปจะสูญเสียมวลกระดูก 1% ทุกปี ซึ่งนำไปสูงสาเหตุของการเป็นโรคกระดูกเปราะ แต่หากท่านรับประทานแคลเซียมอย่างน้อย 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ก่อนถึงวัยหมดประจำเดือน และ 1,500 มิลลิกรัมหลังวัยหมดประจำเดือน ก็จะช่วยทดแทนมวลกระดูกที่เสียไปได้

นม เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุด นมพร่องมันเนย 1 แก้ว ให้แคลเซียม 300 มิลลิกรัม นมเปรี้ยวพร่องมันเนย ปลาซาดีน ปลาแซลมอนติดกระดูกอ่อนก็เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม

ผัก ผลไม้ และธัญพืช อาหารเพื่อสุขภาพกลุ่มนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ทั้งเพื่อป้องกัน และต่อสู้โรคร้าย ทุกวันนี้หลายท่านมีมุมมองในการรับประทานผักโดยคำนึงถึงสุขภาพเป็นหลัก ผักมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่รับประทานกันแพร่หลาย ผักพื้นบ้านที่เราไม่คุ้นเคย ขอแนะนำผักพื้นบ้านที่หารับประทานได้ไม่ยาก อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการป้องกัน และรักษาโรค


คุณค่าของสารอาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต




วิตามิน (Vitamin) ทำหน้าที่เป็นตัว Co=enzyme ช่วยให้เอนไซม์ต่าง ๆ ในร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังช่วยในการเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ ให้เป็นพลังงาน ช่วยในการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ถ้าร่างกายขาดวิตามินจะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้

เกลือแร่ (Mineral) ที่จำเป็นต่อร่างกายมี 16 ชนิด ช่วยในการเสริมฤทธิ์กับวิตามิน ช่วยให้ร่างกายทำงานตามปกติ ช่วยเร่งการเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ ในร่างกายให้เป็นพลังงาน ช่วยในการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และสร้างเซลล์เนื้อเยื่อใหม่ ๆ

เส้นใยอาหาร (Fiber) มีส่วนสำคัญต่อร่างกายในขบวนการย่อยอาหาร และช่วยในการดูดซึมสารอาหารที่ให้พลังงานป้องกันอาการท้องผูก และท้องเสีย นอกจากนี้ยังช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาล และคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

โปรตีน (Protein) ร่างกายย่อยโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโน มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ใหม่ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และยังให้พลังงานอีกด้วย


อาหารสำหรับผู้ป่วย
หลาย ๆ ท่านคงเคยประสบปัญหาที่ว่ารับประทานอาหารน้อยลง แต่ทำไม่ความอ้วนถึงไม่ค่อยจะยอมลดลงสักเท่าไร ทั้ง ๆ ที่กิจกรรมต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตก็แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย อีกทั้งสุขภาพโดยรวมกลับจะแย่ลงด้วยซ้ำ ทั้งโรคในระบบหลอดเลือด และหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบตัน เป็นต้น

ลองศึกษาในเรื่องประเภทของอาหารต่าง ๆ ทั้ง 5 หมู่ คือ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน เกลือแร่ และวิตามิน ที่รับประทานดูว่าเหมาะสมหรือไม่กับสุขภาพโดยรวมของท่านแล้วหรือยัง

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ชงโค

ชื่อพื้นเมือง : ชงโค

ชื่ออื่น : เสี้ยวดอกแดง (ภาคเหนือ) เสี้ยวหวาน (แม่ฮ่องสอน)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bauhinia blakeana Dunn.

ชื่อสามัญ : Orchid Tree

ชื่อวงศ์ : Caesalpiniaceae

สภาพนิเวศน์ : -

ประโยชน์

ราก ใช้เป็นยาขับลม เปลือก แก้บิด แก้ท้องร่วง

ใบ ต้มรักษาอาการไอ ดอก แก้ไข้ ยาระบาย

ลักษณะทั่วไป

ไม้พุ่มหรือไม้ต้น สูง 10 เมตร ใบเกือบกลม แยกเป็น 2 แฉกลึก ปลายแฉกกลม ช่อดอก

ออกข้าง ๆ หรือปลายกิ่ง 6 -10 ดอก กลีบรองดอกตะแคงข้าง กลีบดอกชมพูถึง

ม่วงเข้่ม กลีบแคบ เกสรตัวผู้ 3 อัน รังไข่มีขน ฝักแตก ฝักยาว 20 -25 ซม. เมล็ดกลม

10 เมล็ด ออกดอกเืดือนกันยายน - กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและกิ่งตอน



มณฑา : มีชื่ออื่นๆว่า ยี่หุบ จอมปูน จำปูนช้าง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Talauma candollei Bl.
วงศ์ : MAGNOLIACEAE



สายหยุด

ชื่อวิทยาศาสร์ Desmos chinensis Lour.

ตระกูล ANNONACEAE

ชื่อสามัญ Desmos

ลักษณะทั่วไป

ต้น สายหยุดเป็นไม้เถาเลื้อยกึ่งไม้ยืนต้น มีเถาใหญ่แข็งแรงสามารถเกาะเลื้อยพันต้นไม้ หรือกิ่งอื่น ๆ
ไปได้ไกล และมักจะแตกกิ่งก้านสาขามากในบริเวณยอด และจะแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปเป็นบริเวณ
กว้าง กิ่งอ่อนจะมีสีน้ำตาลและมีขนอ่อน ๆ ขึ้นปกคลุมโดยทั่วไป ส่วนกิ่งแก่นั้นจะมีสีดำเป็นมัน ไม่มีขน


ใบ ใบจะออกสลับกันตามข้อต้น ใบจะเป็นใบเดี่ยว รูปขอบขนานแกมรูปหอก ปลายใบแหลมเป็ฯติ่งสั้น
โคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ใบด้านบนเรียบ ส่วนด้านล่างจะมีขน ขอบใบเรียบ ไม่มีจัก ใบสีเขียวเข้ม
ดอก สายหยุดจะออกดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกแบบตามขอต้นโคนก้านใบ และที่ตาซึ่งติดกับลำต้นลักษณะของ
ดอกเมื่อยังตูมอยู่จะเป็นสีเขียว และเมื่อบานจึงจะเป็นสีเหลือง ดอกจะห้อยลง ดอกมีขนาดเล็ก มีกลีบดอก
5-6 กลีบ แบ่งเป็ฯ 2 ชั้น ๆ ละ 3 กลีบ และมีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอกจะบิดงอเช่นเดียวกันกับดอกกระ
ดังงาไทย มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียจำนวนมากอยู่ภายในดอก ดอกจะมีกลิ่นหอมจัดในตอนเช้าตรู่
พอสายกลิ่นก็จะค่อย ๆ ลดความหอมลง และจะหมดกลิ่นหอมลงเมื่อใกล้เวลาเที่ยงวัน
การปลุก
สายหยุดมีวิธีการปลูก โดยการนำต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ด หรือกิ่งที่ได้จากการตอนมาปลูกลงดิน
หลังปลูกประมาณ 3-4 ปี จึงจะให้ดอก




ชื่อวิทยาศาสตร์ Bovgainvillea hybrid
ชื่อสามัญ Bovgainvillea , Paper Flower
ชื่อวงศ์ Nyctaginaceae
เพื่องฟ้าเป็นไม้รอเลื้อย ลำต้นมีกิ่งมีหนาม ใบเดี่ยว ออกสลับรูปไข่หรือรูปวงรี กว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 4-8 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมนหรือสอบ ใบประดับสีต่างๆตามสีของดอก ออกเป็นกลุ่มกลุ่มละ 3 ใบ บางพันธุ์มีใบประดับซ้อน รูปไข่ หรือ รูปรี ค่อนข้างกว้าง ปลายแลโคนมน ดอกมีสีตามพันธุ์เช่น สีแดง ม่วง ชมพู เหลือง หรือขาว ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบรวมเป็นหลอด คอดตรงกลาง ติดอยู่บนใบประดับแต่ละใบ ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ปลายหลอดแผ่ออก ภายในกลีบสีนวล เมื่อบานจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.6 เซนติเมตร เกสรตัวผู้ 5-10 อัน ผลมีขนาดเล็ก มี 5 สัน ถิ่นกำเนิดมีที่ อเมริกาใต้ ปลูกได้ทั่วไป ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์ เมล็ด ปักชำกิ่ง ตอนกิ่ง

ดอกอังกาบ

ดอกอังกาบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Barleria cristata L.
วงศ์ : ACANTHACEAE



กรรณิการ์
ชื่อวิทยาศาสตร์: Nyctanthes arbortristis Linn.
ชื่อสามัญ: กรรณิการ์ ( Night blooming jasmine)
เรื่องราวของดอกกรรณิการ์ มีมากมาย ดอกกรรณิการ์ มีลักษณะโดดเด่นคือก้านดอกเป็นสีแสด ดังที่มีกล่าวไว้ในกาพย์ห่อโคลง นิราศธารโศกของเจ้าฟ้ากุ้ง
ดอกกรรณิการ์ใช้ย้อมผ้ากันมานาน ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์กำหนดให้พระภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะมีเครื่องนุ่งห่ม ให้ไปที่ป่าช้า ให้พิจารณาผ้าที่เค้านำมาห่อศพ เรียกว่าผ้าบังสุกุล พิจารณาว่าใช้ได้หรือไม่ ถ้าพิจารณาแล้วใช้ได้ ก็ดึงผ้าออกมา
อันเป็นประเพณีมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าภาพจะเอาผ้าสีเหลืองมาวางใกล้กับโลง เรียกว่า ทอดผ้า ทอดแปลว่า ทิ้ง พระท่านก็จะมาจับผ้าและแสดงอาการพิจารณาผ้าบังสุกุล และกล่าวคำ อนิจจา วัตตาสัง ขารา
สมัยก่อนเมื่อนำผ้ามาแล้วจะต้องซักด้วยน้ำขี้เถ้า จนหมดกลิ่น แล้ว จึงนำมาย้อมด้วยดอกกรรณิการ์ โดยเฉพาะก้านดอก จะได้เป็นสีเหลืองฝาดๆ แล้วค่อยนำไปตัดเย็บเป็นสบง จีวร สังคาติ



ลำดวน
หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “ต้นดวน” เป็นไม้คู่เมือง เกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์เมืองศรีสะเกษมาแต่โบราณ “ลำดวน” ปรากฏในชื่อเมืองเดิมของ จ. ศรีสะเกษ คือ เมืองนครลำดวนหรือเมืองศรีนครลำดวน ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์แห่งกรุงศรีอยุธยา เจ้าเมืองศรีนครลำดวนก็ได้รับพระราชทานนามว่า “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน” นอกจากนี้ยังปรากฏในชื่อบ้านนามเมืองของ จ. ศรีสะเกษอีกหลายแห่ง เช่น บ้านดวนใหญ่ บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน ซึ่งล้วนเป็นชุมชนเก่าแก่มาแต่ครั้งสมัยขอม
ลำดวนเป็นไม้พุ่มขนาดใหญ่ที่มีอายุยืนยาวถึง ๓๐๐ ปี ดอกมีสีเหลืองนวล กลีบดอกเล็กแต่หนา งุ้มเข้าหากัน คล้ายกับดอกนมแมวแต่งามกว่า เริ่มออกดอกในช่วงเดือน ม.ค. และจะส่งกลิ่นหอมเย็นในช่วงเดือน ก.พ. ไปจนถึงเดือน เม.ย. ของทุกปี
ดอกลำดวนจัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง โดยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ วิจัยพบว่าเมื่อนำดอกลำดวนไปอบให้แห้ง แล้วนำไปบด ชงกับน้ำร้อนดื่ม จะช่วยบำรุงเลือด แก้ไข้ แก้วิงเวียน




ดอกนมแมว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rauwenhoffia siamensis Scheff.
วงศ์ : ANNONACEAE
ถิ่นเดิม : ภาคใต้ของประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้




ชื่อวิทยาศาสตร์ : Polianthes tuberosa
วงศ์ : Agavaceae
ชื่อสามัญ : Tuberose
ชื่ออื่น ๆ : :ซ่อนกลิ่น
ข้อมูลทั่วไปและประวัติ :ซ่อนกลิ่นเป็นไม้ในวงศ์เดียวกันกับ
พลับพลึง มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ จะมีกลิ่นหอมตั้งแต่เวลาเย็น
ถึงตอนกลางคืน ใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ มีอายุหลายปี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีหัว ซึ่งเป็น
ลำต้นอยู่ใต้ดิน ลักษณะของหัวจะคล้าย ๆกับหัวหอม ใบมีสีเขียว
เล็กและเรียวยาวใบจะโผล่ออกมาจากพื้นดิน ใบยาวประมาณ
1-1.5 ฟุต ดอกจะชูช่อออกมาตรงกลางกอของลำต้น และ
จะมีดอกเกาะตรงก้านดอกเรียงกันเป็นแนวตามก้านดอก ดอกมีสี
ขาว ดอกยาวประมาณ 1 นิ้ว ช่อดอก หนึ่งๆ จะยาวประมาณ 2-2.5
ฟุต แต่ละข่อดอกจะมีดอกย่อย 40-90 ดอก กลีบดอกแต่ละกลีบจะ
ไม่เท่ากัน กว่า จะบานหมดทั้งช่อใช้เวลา 5-7 วัน และมีกลิ่น
หอมมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน
การขยายพันธุ์ : ใช้หัว




ยี่โถเป็นไม้พุ่ม สูง 2-3 เมตร ใบรูปร่างเหมือนปลายหอก มีขนาดไม่ใหญ่นัก แคบและยาว ลำต้นเกลี้ยงๆ เปลือกมีสีเทา กิ่งจะแตกออกเป็นกลุ่มพุ่งขึ้นด้านบน ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดจากฝัก ปักชำ หรือการตอนกิ่ง

อุทยานดอกไม้..

ชม ผกา จำปา จำปี
กุหลาบ ราตรี พะยอม อังกาบ ทั้ง กรรณิการ์
ลำดวน นมแมว ซ่อนกลิ่น ยี่โถ ชงโค มณฑา
สายหยุด เฟื่องฟ้า ชบา และ สร้อยทอง
...บานบุรี ยี่สุ่น ขจร
ประดู่ พุดซ้อน พลับพลึง หงอนไก่ พิกุล ควรปอง
งาม ทานตะวัน รักเร่ กาหลง ประยงค์ พวงทอง
บานชื่น สุขสอง พุทธชาด สะอาดแซม
(ซ้ำ)...พิศ พวงชมพู กระดังงา เลื้อยเคียงคู่ ดูสดสวยแฉล้ม
รสสุคนธ์ บุญนาค นางแย้ม สารภี ที่ถูกใจ
...งาม อุบล ปน จันทร์กะพ้อ
ผีเสื้อ แตกกอ พร้อม เล็บมือนาง พุดตาน กล้วยไม้
ดาวเรือง อัญชัน ยี่หุบ มะลิวัลย์ แลวิไล
ชูช่อไสว เร้าใจในอุทยาน...(ซ้ำ



เริ่มที่....



จำปาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ควรปลูกในที่ร่มบังแดด ใบมีขนาดใหญ่ยาว กว้าง 5 นิ้ว ยาว 8-10 นิ้ว ดอกมีขนาดใหญ่กว่าดอกจำปี เป็นดอกเดี่ยว สีเหลืองอมส้ม ดอกซ้อนสองชั้น กลีบแข็ง ยาว ดอกมีกลิ่นหอมแต่น้อยกว่าจำปี ดอกมักบาน 02.00-03.00 น. การขยายพันธุ์ โดยการตอนกิ่งหรือไหล



ชื่อวิทยาศาสตร์ Michelia Longifolia
ชื่อวงศ์ MAGNOLIACEAE
ชื่อสามัญ White Chempaka
ชื่ออื่นๆ จำปี
ถิ่นกำเนิด ประเทศอินโดนีเซีย
การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป
ลักษณะที่แตกต่างระหว่าง จำปี กับ จำปา คือ จำปี จะมีสีขาว กลิ่นหอม เย็น แต่จำปา นั้นมีสีเหลืองและกลิ่นหอมได้ไม่เท่าจำปี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
จำปีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นใหญ่สูงกว่าจำปาเล็กน้อย ต้นจะแตกพุ่มยอดใบงามกว่าจำปา ใบนั้นเป็นใบเดี่ยว ปลายใบจะแหลม โคนใบมน ดอกเป็นดอกเดี่ยว มีสีขาวคล้ายๆ กับสีของงาช้าง จะมีกลีบอยู่ 8-10 กลีบ ซ้อนกัน กลีบดอกจะเรียวกว่าจำปา ยาวประมาณ 2 นิ้ว ตรงกลางดอกจะมีเกสรเป็นแท่งกลมเล็ก ยอดแหลมคล้ายผักข้าวโพดเล็กๆ ปลูกประมาณ 3 ปี จำปีถึงจะให้ดอก สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
การปลูกและดูแลรักษา
จำปีเป็นไม้กลางแจ้งต้องการแสงแดดจัด ขึ้นได้ในดินทุกชนิด สามารถปลูกในดินค่อนข้างเหลวได้ แต่ที่ดีที่สุดควรปลูกในดินร่วนซุยมีธาตุอาหารเพียงพอ ต้องการการรดน้ำบ่อยๆ

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ต้มกะหล่ำเจ

มาแล้วจ้าต้อนรับเทศกาลกินเจ เป็นเมนูอาหารเจรสเลิศ
ต้มกะหล่ำเจ แม้ว่าหน้าตาจะแสนธรรมดา
แต่เป็นที่ยอมรับกันว่า
รสชาติอร่อยเลิศล้ำ เกินพรรณนา
สูตรเด็ดจากเจ้พิม (คุณแม่ของเว็บคุ้กกี้เอง)
ถ้าไม่รักกันจริง ไม่นำออกมาเผยกันให้ดูนะเนี่ย
เมนูนี้ ทำไม่ยาก แต่จะทำให้อร่อยต้องมีเทคนิคกันเล็กน้อย
ก็ ลองเอาไปทำทานกันดูนะจ๊ะ



เครื่องปรุง
1. กะหล่ำปลี 4 หัว
2. เห็ดหอม 10 ดอก
3. ฟองเต้าหู้ทอด 1 ถ้วยตวง
ต้มกะหล่ำเจ4. ซิอิ๊วขาว 1/2 ถ้วยตวง


5. ซอสปรุงรส 2 ช้อนตวง
6. พริกไทยเม็ด 20 เม็ด
7. น้ำมันพืช
8. น้ำเปล่า


1. ผ่ากะหล่ำปลี ออกเป็นสี่ถึงหกซีก (ขึ้นอยู่ว่าหัวเล็กหรือใหญ่) นำไปล้างน้ำให้สะอาด และผึ่งให้แห้ง จากนั้นเทน้ำมันพืชใส่กะทะ รอจนน้ำมันร้อน ใส่กะหล่ำปลีลงทอดให้เหลือง และดูว่าผักนุ่มลง (เวลาทอดให้ใช้ไฟปานกลาง คอยกลับข้างกะหล่ำด้วย น้ำมันที่ใช้ต้องมากพอท่วมผัก ไม่เช่นนั้นผักจะไหม้) จากนั้นตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน (ต้องสะเด็ดน้ำมันนานๆ ไม่อย่างนั้นเวลาต้มออกมา จะมันมาก) ถึงตอนนี้กลิ่นกะหล่ำทอดก็หอมไปทั่วบ้านแล้วล่ะ
2. เรียงกะหล่ำใส่หม้อ โรยด้วยพริกไทยเม็ด บุบพอแตก ใส่น้ำเปล่าพอท่วมผัก ใส่ฟองเต้าหู้ทอด นำขึ้นตั้งไฟ

ส่วนเห็ดหอมแห้ง ให้นำไปแช่น้ำจนนุ่ม (ถ้าดอกแข็งมากให้ใช้น้ำอุ่น) จากนั้นนำมาหั่น
เป็นชิ้นพอคำ (อย่าลืมตัดแกนออก เพราะส่วนมากจะแข็ง เดี๋ยวจะทานไม่อร่อย) นำกะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย ใส่เห็ดหอมที่เตรียมไว้ลงผัด ใช้ไฟอ่อน ผัดจนเห็ดหอม มีกลิ่นหอม ปรุงรสด้วยซิอิ๊วขาวเล็กน้อย ตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน



3. ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว และซอสปรุงรส ตั้งไฟจน เดือนเข้ากันดี ชิมรสและปรุงรสเพิ่มตามความชอบ (ถ้าจะประหยัด ชิมแล้วรู้สึกว่าไม่เค็ม ปรุงรสเพิ่มด้วย เกลือ แต่ถ้าจะให้อร่อยเลิศแบบทุ่มทุนสร้างแนะนำว่าให้ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว ไม่ใช้เกลือค่ะ แบบว่าอร่อยมากๆ ขอบอก )

ยำบ้านต้นซุง

ยำบ้านต้นซุง

แอ่น แอ๊น... และแล้วก็ได้ฤกษ์เปิดหน้าเมนูเอกกันเสียที
หลังจากผัดกันมาเรื่อย..(มีแฟนๆ บางคนบอกว่าถ้าเป็น
ผัดซีอิ๊วก็ผัดได้หลายสิบจานอยู่ :-) ประเดิมเมนูแรกก็เป็น
สูตรเด็ดจากร้านบ้านต้นซุง (เมนูนี้เป็นเมนูโปรดของเว็บคุ้กกี้
เลยนะขอบอก) อนุเคราะห์ข้อมูลจาก "ร้านบ้านต้นซุง"
รสชาติหวานๆ อมเปรี้ยวนิดๆ แถมยังทำง่ายๆ
เหมาะสำหรับทำกินเล่นกันวันหยุด เอาล่ะเข้าเรื่องเลยดีกว่า



เครื่องปรุง
1. หมูยอ 1 ท่อน (ประมาณ 12-15 ซม.)
2. มะม่วงซอย (เอาออกเปรี้ยวหน่อยนะ)
3.หอมแดงซอย
4. กุ้งแห้ง
5. หมูหยอง 6.. แครอทซอย
7. น้ำปลา 2 ช้อนตวง
8. น้ำมะนาว 2 ช้อนตวง
9. น้ำตาลเชื่อม 2 ช้อนตวง

1. นำหมูยอที่ได้เตรียมเอาไว้ ผ่าเป็นสองซีก ทอดให้เหลือง (อันนี้พ่อครัวบอกว่าชอบนิ่มๆ
ก็ให้ทอดแป๊บเดียวพอ หากชอบออกกรอบๆ หน่อย ก็ให้ทอดด้วยไฟแรง 5-7 นาที จากนั้นนำไปใส่จานรอไว้
2. เอาเครื่องปรุงที่ได้เตรียมไว้คลุกเคล้าให้เข้ากันทั่ว (ลองหยิบมาชิมกันก่อนนิดนึง ชอบหวานเปรี้ยวอย่างไร ก็ปรุงเพิ่มกันตามสะดวก)


3. นำเอาเครื่องปรุงราดหมูยอที่เตรียมไว้ในจาน จากนั้นนำเอาหมูหยอง และแครอทโรยหน้า เป็นอันเสร็จพิธี

เท่านี้เราก็ได้อาหารจานเด็ด "ยำบ้านต้นซุง" ที่น่ารับประทาน :-)


วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันลอยกระทง

ประวัติ
พลุเฉลิมฉลองในเทศกาลวันลอยกระทงริมแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป[ต้องการแหล่งอ้างอิง] แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3

ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี

ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"

อาหารไทยภาคเหนือ

ภาคเหนือ ...
เป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ครั้งในอดีต เป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ ที่มีศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ที่แตกต่างไปจากภาคอื่น ๆ และการที่คนเหนือมีเชื้อสายไทยใหญ่ หน้าตา ผิวพรรณ จึงต่างไปจากคนภาคอื่น ๆ ประกอบกับความอ่อนหวาน ซื่อ บริสุทธิ์ ทำให้คนเหนือมีเอกลักษณ์ที่เด่นชัดของตนเอง นอกจากนี้ การมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ทำให้เกิดธรรมชาติที่สวยงาม มีความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ และยังเป็นที่อยู่ของคนไทยภูเขาหลายเผ่าพันธุ์ ภาคเหนือจึงยังเป็นที่รวมของวัฒนธรรมที่หลากหลาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี ที่งดงามเหล่านี้ได้สืบทอดกันมานานแสนนาน ภาคเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นคล้ายต่างประเทศ ไม้เมืองหนาวต่าง ๆ พันธุ์ ถูกนำมาทดลองปลูก และได้กลายเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้แก่เกษตรกรภาคเหนือเป็นอันมาก แต่ถึงจะสามารถปลูกพืช ผัก เมืองหนาวได้ แต่อาหารดั้งเดิมของภาคเหนือ ก็ยังใช้พืชตามป่าเขา และพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มาใช้ในการปรุงอาหารเป็นส่วนใหญ่ โก๊ะข้าว หรือขันโตก จะทำด้วยไม้รูปทรงกลม มีขาสูงพอดีที่จะนั่งร่วมวง และหยิบอาหารได้สะดวก ชาวบ้านภาคเหนือจะจัดอาหารใส่ถ้วยแล้ววางบนโก๊ะข้าว หรือบางบ้านอาจใช้ใส่กระด้งแทน การเก็บอาหารที่เหลือ เพื่อให้พ้นมด แมลง ที่จะมาไต่ตอม ก็จะใส่กระบุง แล้วผูกเชือก แขวนไว้ในครัว เมื่อต้องการจะรับประทานก็ชักเชือกลงมา ในครัวทั่ว ๆ ไปจะมีราวไว้แขวน หอม กระเทียม คนภาคเหนือจะรับประทานข้าวเหนียวกันเป็นอาหารหลัก ส่วนกับข้าวก็หาเอาตามท้องทุ่ง และลำน้ำ ทั้งกบ เขียด อึ่งอ่าง ปู ปลา หอย แมงยูน จีกุ่ง ( จิ้งหรีดชนิดหนึ่ง ) ไก่ หมู และเนื้อ อาหารภาคเหนือไม่นิยมใส่น้ำตาล ความหวานจะได้จากส่วนผสมที่นำมาทำอาหาร เช่น ความหวานจากผัก จากปลา จากมะเขือส้ม เป็นต้น การทำอาหารก็มักจะให้สุกมาก ๆ เช่นผัดก็จะผัดจนผักนุ่ม ผักต้มก็ต้มจนนุ่ม อาหารส่วนใหญ่จะใช้ผัดกับน้ำมัน แม้แต่ตำขนุน ( ยำขนุน ) เมื่อตำเสร็จก็ต้องนำมาผัดอีกจึงจะรับประทาน ในปัจจุบันนี้ เนื้อสัตว์ที่นิยมนำมาทำอาหารจะเป็น หมู ไก่ เนื้อ และปลาตามลำดับ ปลาที่ใช้ในปัจจุบันมีทั้งปลาเลี้ยง และปลาที่จับจากแม่น้ำลำคลอง

อาหารที่คนภาคเหนือนิยมใช้กินแนม หรือ กินเคียงกับอย่างอื่น เช่น

หน้าปอง คือการเอาหนังควายมาเผาไฟ แล้วแช่น้ำขูดเอาส่วนที่ดำ ๆ ออก ตัดส่วนที่แข็งทิ้ง ตากแดดให้แห้ง นำแผ่นหนังไปปิ้งไฟพอให้อ่อนตัว ใช้มีดตัดเป็นเส้นแต่ไม่ให้ขาดจากกัน นำไปต้ม 3 วัน โดยใช้ไฟอ่อน ๆ จนมีสีเหลือง ๆ เก็บไว้รับประทานได้นาน เมื่อจะรับประทาน ให้ทอดไฟกลางหนังจะพอง ถ้าไฟแรงหนังจะไหม้ ถ้าไฟอ่อนหนังจะไม่พอง น้ำหนัง คือเอาหนังควายเผาไฟจนไหม้ดำ แช่น้ำในโอ่ง แล้วขูดส่วนที่ไหม้ออก นำไปต้มในปี๊บโดยขัดแตะปากปี๊บไว้ หนังจะได้ไม่ลอยขึ้นมา ต้มไปจนหนังละลายเป็นน้ำข้น ๆ ยกลง กรองด้วยกระชอนไม้ไผ่ นำไปละเลงบาง ๆ บนกาบไม้ไผ่ หรือจะผสมงาก่อนละเลงก็ได้ นำไปผึ่งในร่ม พอแห้งลอกเก็บ รับประทานกับแกง โดยปิ้งไฟอ่อน ๆ แคบหมู นำหนังหมูมากรีดมันออก ให้เหลือติดนิดหน่อย เคล้ากับเกลือ ผึ่งแดดให้น้ำมันแห้ง ตัดเป็นชิ้นเล็ก นำไปเคี่ยวกับน้ำมันในกระทะ พอหนังพองเป็นเม็ดเล็ก ๆ แล้วเอาไปทอดในน้ำมันร้อนจัด หนังหมูพองเท่ากันตักขึ้น ไข่มดส้ม คือ การเอาไข่มดแดงไปดองกับเกลือ แล้วจึงนำมายำหรือแง การดองไข่มดส้มจะดองโดยใช้ไข่มด 1 ถ้วยดองกับเกลือ 2 ช้อนชา

เครื่องปรุงรสในอาหารเหนือ



ปลาร้า คือการหมักปลากับเกลือจนเป็นปลาร้า ใช้ใส่ในอาหารหลายอย่าง น้ำปู๋ คือ การเอาปูนาตัวเล็ก ๆ มาโขลก แล้วนำไปเคี่ยว กรองเอาแต่น้ำปู๋ ใส่ข่า ตะไคร้ เคี่ยวต่อจนข้น น้ำปู๋จะมีสีดำ มีความข้นพอ ๆ กับกะปิ การเก็บจะบรรจุใส่ขวดหรือกล่องเล็ก ๆ ปากกว้าง เก็บไว้ได้นาน


ถั่วเน่าแผ่น ( ถั่วเน่าแค่บ ) คือถั่วเหลืองต้ม หมักกับเกลือจนนุ่ม นำไปโม่แล้วละเลงเป็นแผ่น ตากแดดให้แห้ง ใช้แทนกะปิ


ถั่วเน่าเมอะ คือถั่วเหลืองต้มหมักกับเกลือ ห่อใบตองให้มีกลิ่น ใช้ทำน้ำพริก ใช้ผัด หรือปิ้งรับประทานกับข้าว


มะแขว่น เป็นเครื่องเทศทางเหนือ มีลักษณะเป็นพวงติดกัน เม็ดกลม เปลือกสีน้ำตาลเข้ม เปลือกจะอ้าเห็นเมล็ดข้างในสีดำกลม กลิ่นหอม มีรสเผ็ดเล็กน้อย


มะแหลบ ลักษณะเมล็ดแบน กลิ่นหอมอ่อนกว่ามะแขว่น


ผักและเครื่องเทศทางภาคเหนือ จะเป็นผักเฉพาะถิ่น ผักบางชนิดจะคล้ายกับผักทางภาคอีสาน แต่เรียกชื่อต่างกัน ทางภาคเหนือจะมีเครื่องเทศเฉพาะคือ มะแขว่น กับมะแหล่บ อาหารภาคเหนือรสจะออกไปทางเค็มกับเผ็ด แต่ไม่เผ็ดจัด รสหวานไม่นิยม หากจะมีความหวานในอาหารบ้างก็จะได้มาจากเครื่องปรุงในอาหารนั้น ๆ ไม่นิยมใช้น้ำตาล แต่จะนิยมใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร อาการส่วนใหญ่จะผัดด้วยน้ำมัน เครื่องจิ้มก็จะเป็นน้ำพริกเป็นส่วนใหญ่ ผักที่ใช้จิ้ม ส่วนใหญ่จะเป็นผักนึ่ง


ผักปู่ย่า ขึ้นในป่า ลักษณะเป็นพุ่ม ดอกสีเขียวอมชมพูน้ำตาล มีหนามถ้าดอกสีเหลืองจะมีรสเปรี้ยว ใช้ทำยำ นอกจากนี้ผักปู่ย่า ยังมีผักที่ขึ้นตามป่า แล้วนำมาปรุงอาหาร หรือใช้เป็นผักจิ้มอีกหลายชนิด เช่น ผักสลิดจะมีรสขม ผักห้วนหมู จะมีใบใหญ่ สีเขียวเข้ม รสขม ผักกานถึง ใบเล็ก ๆ แหลม ๆ มีรสหวาน เวลาเด็ด เด็ดเป็นยอด นอกจากนี้ยังมีผักป่าอีกหลายชนิด

นอกจากผักป่าแล้วยังมีเห็ดชนิดต่าง ๆ ที่เกิดตามป่าและเก็บมารับประทาน เช่น เห็ดแดง เห็ดเผาะ ( เห็ดถอบ ) เห็ดหูหนูลัวะ คือ เห็ดหูหนู


ผักขี้หูด ลักษณะของผักจะเป็นฝัก ขึ้นเป็นช่อ ฝักเล็กขนาด ? ซม. ยาว 7-8 ซม. ดอกสีม่วงสวย กินสดโดยจิ้มกับน้ำพริก น้ำผัก หรือ ต้ม นึ่งกินกับน้ำพริกอ่อง ผักขี้หูดเป็นผักฤดูหนาว ใบคลายใบผักกาด จะใช้เฉพาะส่วนที่เป็นฝัก รสเผ็ดเล็กน้อย แต่ถ้าต้มสุกแล้วจะหวาน


ผักกาดตอง ใบคล้ายใบพลู แต่ใบสั้นกว่า สีเขียวออกขาว กลิ่นหอมฉุน ใช้กินกับลาบ


หอมด่วน คือ ผักชี อาหารภาคเหนือส่วนใหญ่นิยมโรยด้วย ผักชีหั่นฝอย


ยี่หร่า ลักษณะใบฝอย สีเขียวเข้ม ใช้จิ้มน้ำพริก น้ำผัก น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกตาแดง และใส่แกง


หยวกกล้วย จะใช้หยวกกล้วยป่า โดยใช้แกนให้มาทำแกงหรือต้มจิ้มน้ำพริก


บ่าค้อนก้อม คือ มะรุม ใช้แกงส้ม


บ่าริดไม้ คือ ลิ้นหมา ลักษณะเป็นฝัก ยาวประมาณ 10 – 15 นิ้ว ฝักจะมีลักษณะแบน กว้าง 3 นิ้ว ต้มให้นุ่มใช้จิ้มน้ำพริก มีรสขม เป็นยาระบาย มีสีเขียวขี้ม้า


บ่าหนุน จะใช้ขนุนอ่อน โดยเด็ดเอาขนุนที่ออกลูกมากเกินไป และจำเป็นต้องเด็ดออกเสียบ้าง เพื่อจะได้ไม่แย่งอาหารกันมาก ขนุนอ่อนนี้ใช้ทำแกง หรือต้มจิ้มน้ำพริก


ดอกงิ้ว คือดอกนุ่นพันธุ์พื้นเมือง


พริกหนุ่ม เป็นพริกทางเหนือ มีลักษณะยาวเรียว พริกหนุ่มสด จะมีสีเขียวอมเหลือง


ดอกลิงแลว เป็นดอกเล็ก ๆ สีม่วง มีลักษณะคล้ายกล้วยไม้ที่เพิ่งแตกดอก คือเป็นปุ่มเล็ก ๆ ปลายดอกเรียว โคนใหญ่ ตัวดอกนุ่ม ลักษณะใบจะยาวคล้ายใบหมาก มีรสหวาน ใช้ทำแกงแค หรือ แกงเลียง


ตูน คือ คูน ต้นคล้ายต้นบอล แต่เปลือกสีเขียวนวลไม่คันเมื่อมือถูกยางคูน เนื้อตูนสีขาว เนื้อฟ่าม กินสดได้ โดยกินกับตำส้มโอ ตำมะม่วง


ผักหระ คือ ชะอม กินได้ทั้งสดและทำให้สุก นิยมกินกับตำมะม่วง ตำส้มโอ หรือ ใส่แกง เช่น แกงแค เป็นต้น


ผักหนอก คือใบบัวบก กินสดกับน้ำพริกหรือแนม หรือกินแกล้มกับยำต่าง ๆ


หัวปี๋ ( ปลี ) คือหัวปลี กินได้ทั้งสดและทำให้สุก เช่น กินสดจิ้มกับน้ำพริกอ่อง ทำสุก เช่น ใช้แกงกับปลาย่าง ต้มสุกจิ้มน้ำพริก ปลีกล้วยที่นิยมกินกัน คือ ปลีกล้วยน้ำว้า กับปลีกล้วยป่า


ดอกแก ( ดอกแค ) ดอกแคที่นิยมกินกันมีสองสี คือแคขาวกบแคแดง ใช้ทำแกง หรือ ต้มจิ้มน้ำพริก ยอดแคก็กินได้


หน่อไม้ไร่ มีลักษณะเล็กยาว มีรสขื่นและขม นิยมเอามาทำเป็นหน่อไม้ปีป นอกจากจะเก็บได้นานแล้ว ยังทำให้รสขื่นและขมของหน่อไม้คลายลง หน่อไม้ไร่ปีปนิยมทำหน่ออั่ว ยำหน่อไม้และผัด


มะเขือส้ม คือมะเขือลูกเล็ก ๆ ที่ติดกันเป็นพวง มีรสเปรี้ยวอมหวานนิด ๆ



......... .........

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อมูลท่องเที่ยว เชียงใหม่

ข้อมูลท่องเที่ยว เชียงใหม่

ข้อมูลที่ควรทราบ ข้อมูลทั่วไป สถานที่ท่องเที่ยว การเดินทาง ร้านอาหาร แผนที่ เทศกาลและงานประเพณี
ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผาชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์

ข้อมูลทั่วไป

นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ หรือเวียงพิงค์ ก่อตั้งโดยพญามังรายมหาราชปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายเมื่อพ.ศ. 1839 ราชวงศ์นี้ได้ปกครองต่อมาอีก 200 ปี เมืองนี้จึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าในปีพ.ศ. 2101 ต่อมาในปีพ.ศ. 2317 พระเจ้าตากสินมหาราชมาขับไล่พม่าจนพ่ายแพ้ไป เชียงใหม่จึงรวมเข้าในอาณาจักรสยามนับแต่นั้นมา ต่อมาในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเชียงใหม่มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช และเมื่อมีการปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาค ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เชียงใหม่เปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลพายัพ และเป็นจังหวัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันเชียงใหม่นับเป็นเมืองใหญ่และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเมืองที่รวบรวมศิลปกรรม โบราณวัตถุ ตลอดจนวัฒนธรรมดั้งเดิมของล้านนาไทยเอาไว้ โดยทั่วไปแล้วพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่เป็นป่าละเมาะและภูเขา มีที่ราบอยู่ตอนกลางตามสองฟากฝั่งแม่น้ำปิง

การเดินทาง
รถยนต์
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 (สายเอเซีย) ผ่านอยุธยา อ่างทอง นครสวรรค์ หลังจากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 117 ไปยังพิษณุโลก ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 11 ผ่านลำปาง ลำพูน ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 695 กิโลเมตร อีกทางหนึ่งคือจากนครสวรรค์ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านกำแพงเพชร ตาก และลำปาง ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 696 กิโลเมตร

รถประจำทาง
มีรถประจำทางปรับอากาศสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวันๆละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร. 0 2936 2852 – 66 และที่เชียงใหม่ โทร. 0 5324 1449, 0 5324 2664 หรือดูใน www.transport.co.th บริษัทที่มีบริการเดินรถ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ได้แก่ ทันจิตต์ทัวร์ โทร. 0 2936 3210, นครชัยแอร์ โทร. 0 2936 3901, 0 2936 3355 นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ โทร. 0 2936 2207, สมบัติทัวร์ โทร. 0 2936 3355, สหชาญทัวร์ โทร. 0 2936 2762, สยามเฟิสท์ทัวร์ โทร. 0 2954 3601-7

รถไฟ
มีรถด่วน และรถเร็ว ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ทุกวัน สอบถามรายละเอียดได้ที่หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 0 2223 7010, 0 2223 7020, 1690 สถานีรถไฟเชียงใหม่ โทร. 0 5324 2094 และ www.railway.co.th

เครื่องบิน
บริษัทการบินไทย จำกัด บินประจำระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง สำรองที่นั่ง โทร. 0 2280 0060, 0 2628 2000 สอบถามรายละเอียด โทร. 1566 สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0 5321 0043-4 และ www.thaiairways.com และบริษัทบางกอกแอร์เวย์ จำกัด บริการเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-สุโขทัย-เชียงใหม่ โทร. 0 2265 5555, 0 2265 5678 และ www.bangkokair.com นอกจากนี้สายการบินภูเก็ตแอร์ บริการเที่ยวบิน เชียงใหม่-เชียงราย-อุดรธานีทุกวัน สอบถามรายละเอียดที่ภูเก็ตแอร์สถานีเชียงใหม่ โทร. 0 5392 2118 หรือ www.phuketairlines.com และสายการบินโอเรียนท์ไทย บริการเที่ยวบิกกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวันสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0 2267 299 สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0 5390 4606 หรือ www.onetwo-go.com สายการบินนกแอร์ เปิดบริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวัน รายละเอียดสอบถามศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1318 หรือ www.nokair.co.th นอกจากนี้บริษัท ไทยแอร์เอเชีย มีบริการเที่ยวบินระหว่าง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ สอบถามรายละเอียด โทร.0 2515 9999 หรือ www.airasia.com

การเดินทางในตัวจังหวัด
ท่ารถถนนช้างเผือกมีรถโดยสารประจำทางไปยังอำเภอต่างๆ ในเชียงใหม่

เทศกาลและงานประเพณีต่างๆ

งานร่มบ่อสร้าง
จัดขึ้นประมาณเดือนมกราคมของทุกปี ที่บริเวณศูนย์หัตถกรรมร่มบ่อสร้าง มีการแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากกระดาษสา โดยเฉพาะร่มบ่อสร้าง มีการแสดงทางวัฒนธรรม ขบวนแห่ ประเพณีพื้นบ้าน และการประกวดต่างๆ

งานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ
จัดขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ ในงานจัดให้มีการประกวดสวนหย่อมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ภาคเช้าของงานจะจัดให้มีขบวนรถบุปผชาติ และนางงามบุปผชาติ แห่จากบริเวณหน้าสถานีรถไฟ ผ่านสะพานนวรัฐไปสู่สวนสาธารณะหนองบวกหาด

งานประเพณีสงกรานต์
จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดงานประเพณีสงกรานต์ขึ้นเป็นประจำทุกปี ในระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน โดยในวันที่ 13 จะเป็นวันมหาสงกรานต์ มีขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์ และขบวนแห่นางสงกรานต์ โดยเริ่มจากวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร แห่ไปรอบเมืองเชียงใหม่ แล้วมีพิธีสรงน้ำพระ ก่อพระเจดีย์ทราย รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำกัน

งานประเพณียี่เป็ง
จัดขึ้นในช่วงวันลอยกระทงของทุกปี เป็นงานประเพณีที่น่าสนใจยิ่งของจังหวัดเชียงใหม่ จะมีการปล่อยโคมลอยเพื่อเป็นการบูชาพระธาตุจุฬามณีบนสวรรค์ มีการจุดดอกไม้ไฟ ประกวดกระทง ขบวนแห่นางนพมาศ ฯลฯ

ประเพณีเข้าอินทขีล
ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ชาวเชียงใหม่จะร่วมกันประกอบพิธีบูชาอินทขีล ซึ่งเป็นเสาหลักเมือง โดยจำนำดอกไม้ธูปเทียนมาใส่ขันหรือถาดกราบไหว้บูชาอินทขีล

ประเพณีตานหลัวพระเจ้า
เป็นประเพณีการนำฟืนมาเผาเพื่อให้พระพุทธเจ้าได้ผิงไฟ จัดในเดือน 4 เหนือ (ประมาณเดือนมกราคม) จัดที่วัดยางหลวงหรือวัดป่าแดด อำเภอแม่แจ่มเท่านั้น

จุลกฐิน
หลังจากผ่านเทศกาลออกพรรษาแล้วยังมีกฐินที่เรียกว่า จุลกฐิน หรือที่คนโบราณเรียกว่า “กฐินแล่น” ที่มีลักษณะพิเศษ คือ ไม่ใช่ถึงเวลาก็สามารถไปทอดที่วัดได้ หากแต่คิดจะร่วมจุลกฐินแล้ว ต้องเตรียมตัวก่อนเข้าพรรษาด้วยซ้ำไป โดยเริ่มตั้งแต่ ปลูกฝ้าย ดูแลรักษาให้งอกงามจนต้นฝ้ายโตแตกเป็นปุย พอดีเมื่อถึงเวลาทอดกฐิน

สาวพรหมจรรย์ 6 นาง นุ่งขาว ห่มขาว ฟ้อนรำจากวิหารออกไปสู่ไร่ฝ้าย เพื่อเก็บมาให้ชาวบ้านช่วยกันดีดฝ้ายจนฟู นำมาปั่นเป็นหลอดเป็นเส้นใย แล้วทอย้อมสีให้เสร็จ ผึ่งแดดให้แห้ง รีดให้เรียบเพียงชั่วข้ามคืน

ตอนบ่ายตั้งขบวนด้วยความเริงรื่น ปลื้มใจที่ถวายกฐินเสร็จ จากนั้นแห่ผ่านทุ่งนา ด้วยกลองสะบัดชัย ตามด้วยการฟ้อนเจิง ศิลปะเก่าแก่ของพ่อเฒ่า มาถวายที่วัดยางหลวง วัดเก่าแก่ของ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

รู้ทันภัยใกล้ตัว

จาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (1)

การป้องกันและการลักทรัพย์ในที่พักอาศัย
ข่าวคราวขโมยขึ้นบ้านลักทรัพย์มีทุกวัน ท่านควรจะดูแลที่พักอาศัยให้อยู่ในสภาพมิดชิด ไม่เป็นสิ่งล่อใจให้คนร้ายกระทำการในบ้านท่านได้ คือ

ตัวบ้าน

การป้องกันภัยที่ดีควรเริ่มจากการมีบ้านที่ปลอดภัย หมั่นตรวจตราอุปกรณ์ของบ้านอย่างเคร่งครัด ไม่ปล่อยปละละเลยจนคนร้ายสามารถงัดแงะเข้ามาได้ง่าย จึงโปรดสละเวลาเพียงเล็กน้อยแล้วปฏิบัติดังนี้
รั้วบ้านควรทำให้สูงและแข็งแรง สำหรับบ้านสองชั้นที่ต่อเนื่องกับครัวควรทำประตูให้แน่นหนา-กลอนประตูควรเลือกชนิดที่มั่นคงแข็งแรงหน้าต่างประตูทุกบานควรติดลูกกรงเหล็ก-ติดตั้งสวิตช์ไฟทุกชนิดไว้หน้าบ้าน ควรเลี้ยงสุนัขไว้ส่งเสียงดังช่วยเตือนภัย หรือติดตั้งสัญญาณไซเรน-ที่ว่างเปล่าที่ติดกับบ้าน ไม่ควรปล่อยให้มีต้นไม้ขึ้นสูง เพราะคนร้ายอาจใช้กำบังตัว อยู่บ้านอย่างไรให้อุ่นใจ
ก่อนเปิดประตูบ้านรับใคร ควรดูให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีคนแปลกหน้าหรือไม่
เมื่อมีคนโทรศัพท์มาถามว่ามีใครอยู่บ้านหรือไม่ อาจเป็นการหาโอกาสของคนร้าย ให้ตอบว่าอยู่กันหลายคน
ควรอธิบายแก่คนใช้หรือผู้อื่นให้ทราบถึงกลอุบายต่าง ๆ ของคนร้าย เพื่อเป็นการป้องกันอย่าให้หลงเชื่อคนร้าย
ก่อนออกจากบ้านควรปิดประตู หน้าต่าง ใส่กุญแจให้เรียบร้อย
หยุดบอกรับหนังสือพิมพ์ขณะไม่อยู่
กลางคืน ควรรูดม่านปิดไม่ให้คนภายนอกมองเห็นด้านใน- ให้ความร่วมมือกับเพื่อนบ้านในการสอดส่องดูแลชุมชน จัดเวรยามหมู่บ้านคอยดูแลเหตุร้าย.

การป้องกันการข่มขืนกระทำชำเรา
เรื่องนี้ถือเป็นภัยมืดต่อผู้หญิงที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ใครจะรู้ว่าบนถนนที่ทอดยาว จะแฝงเร้นด้วยภัยร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด สตรีเพศทั้งหลายจึงควรระลึกเสมอ 1. ไม่ควรเดินทางคนเดียวโดยลำพังตามตรอกซอกซอยที่เปลี่ยวมืด ควรหาเพื่อนร่วมเดินทางด้วย 2. อย่าแต่งตัวโป๊ หรือโชว์สัดส่วนมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดการถูกข่มขืนกระทำชำเรา หรืออนาจาร ขึ้นได้ 3. ไม่ควรขึ้นรถยนต์หรือจักรยานยนต์ เมื่อมีคนแปลกหน้าชวนให้ขึ้น 4. เมื่อมีคนมาตีสนิททำนองเคยรู้จักกันมาก่อน ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยรู้จัก ก็ควรหลีกเลี่ยงบุคคลเช่นนี้ ถ้าเป็นไปได้ให้ร้องขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่อยู่ใกล้เคียง 5. พยายามหลีกเลี่ยงงานสังสรรค์กลางคืน นอกจากจะมีคนสนิท รือญาติมาคอยรับส่ง 6. เมื่อมีความจำเป็นต้องออกนอกบ้านในตอนกลางคืน ควรบอกให้ทางบ้านทราบว่าจะไปที่ไหน ไปพบใคร อย่างไร และกลับเมื่อไหร่ ที่สำคัญควรพกบัตรประจำตัวประชาชนทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน.


กู้ด่วนดอกโหด
ที่ผ่านมาได้มี ส.ส.ท่านหนึ่ง พร้อมด้วยทนายความ นำผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิดกับขบวนการปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านบัตรเครดิตและคิดดอกเบี้ยโหดเกินกว่าอัตรากฎหมายกำหนด โดยเจ้าทุกข์ได้นำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนายหน้า หรือนายทุน ในการปล่อยเงินกู้ โดยกลุ่มคนพวกนี้จะใช้วิธีติดประกาศตามที่สาธารณะว่าหากใครเดือดร้อนต้องการกู้เงินให้โทรศัพท์ไปตามหมายเลขที่ให้ไว้ หลอกว่าดอกเบี้ยต่ำแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อมีคนไปกู้เงินกลับเสียดอกกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อาทิ ผู้กู้ต้องการกู้เงิน 15,000 บาท จะต้องเอาบัตรเครดิตไปให้นายทุนรูดซื้อของมาในราคา 15,000 บาท แต่กลับให้เงินกู้แค่ 10,000 บาท ทำให้ผู้กู้ต้องไปใช้หนี้บัตรเครดิตเป็นจำนวนเต็ม 15,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ย ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน.



ภัยก๊อบเอทีเอ็ม
“ภัยใกล้ตัว” ประเดิมปี “หมู” ขอแฉเรื่องราวกรรมวิธีของแก๊งคนร้าย “ก๊อบบัตร เอทีเอ็ม” ที่ทุกวันนี้ ได้อาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาใช้หากินกันอย่างที่หลายคนคาด ไม่ถึงเลยทีเดียว เพราะคนร้ายได้พัฒนาวิธีนำ “เครื่องดูดข้อมูล” จากบัตรเอทีเอ็มของเหยื่อไปติดไว้ที่เครื่องเอทีเอ็ม แถมยังใช้ “กล้องวงจรปิด” มีรัศมีส่งในระยะใกล้ สอดส่องดูข้อมูลรหัสบัตรที่เหยื่อใช้กดเงิน ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าว มีการเผยแพร่กรรมวิธีแก๊งคนร้ายทางอินเทอร์เน็ต แฉขั้นตอนวิธีลงมือต่าง ๆ อย่างละเอียดยิบ

เริ่มจาก “เครื่องดูดข้อมูล” จากบัตร อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ คนร้ายจะออกแบบให้มีสีเหมือนกับตู้เอทีเอ็มแต่ละแห่ง จากนั้นจะนำไปติดสวมรอยไว้ที่ช่องเสียบบัตร ซึ่งมีความแนบเนียนเป็นอย่างสูง หากไม่สังเกตแทบจะไม่มีทางรู้ ขณะเดียวกัน คนร้ายจะนำกล่องขนาดเล็กที่ใช้เสียบแผ่นพับโฆษณาต่าง ๆ ไปติดไว้ด้านข้าง ซึ่งภายในกล่องนี้ คนร้ายได้บรรจุเอา “กล้องวงจรปิด” ที่ใช้ส่องจับภาพบริเวณแป้นกดตัวเลข ที่เหยื่อใช้กดรหัสเอทีเอ็ม โดยกล้องดังกล่าวมีกำลัง รับ-ส่ง ในระยะใกล้ ๆ คนร้ายจะคอยบันทึกข้อมูลของเหยื่อเพื่อนำไปใช้ปลอมแปลงบัตร เบิกเงินเหยื่อมาใช้จ่าย

ธนาคารในประเทศไทยหลายแห่ง รับทราบถึงกลโกงคนร้าย จึงออกมาตรการป้องกันด้วยการห้ามติดกล่องโฆษณาภายในตู้เอทีเอ็มอย่างเด็ดขาด ดังนั้น ประชาชนทั่วไปที่มีความจำเป็นต้องเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็ม และพบความไม่ชอบมาพากลเหล่านี้ ขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการกดเงิน พร้อมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารเข้าทำการตรวจสอบ ก่อนจะพลาดพลั้ง ตกเป็นเหยื่อแก๊งวายร้าย กลุ่มนี้ !.


ภัยเว็บแคม
นับถอยหลังอีกไม่กี่วันจากนี้ ก็จะย่างเข้าสู่ปีใหม่ พ.ศ. 2550 ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ ๆ ย่อมก้าวหน้าขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะในแวดวง “อินเทอร์เน็ต” ที่การสนทนา หรือ “แชต” ผ่านคอมพิวเตอร์ ผ่านโปรแกรมดังต่าง ๆ อาทิ “เอ็มเอสเอ็น” กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก “ภัยใกล้ตัว” ในวันนี้ จะฉายภาพให้เห็นถึงความน่ากลัวของโปรแกรมแชตเหล่านี้ ที่ปัจจุบัน สามารถสนทนาผ่านทางกล้องวิดีโอ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “เว็บแคม” ที่สามารถพูดคุยและเห็นหน้า กิริยาท่าทางของอีกฝ่ายได้ทุกอิริยาบถ สิ่งเหล่านี้ “มิจฉาชีพ” ได้อาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มาใช้หากินกันนักต่อนัก

มิจฉาชีพทั้งชายและหญิง จะใช้เว็บแคมหลอกทำทีมาพูดคุยกับเหยื่อผ่านโปรแกรมแชต ที่โดยมากแล้ว จะเป็นเหยื่อสาวอายุน้อย ๆ จากนั้นจะใช้โปรแกรม “SplitCam” เปิดวิดีโอ ซึ่งเป็นภาพหญิงสาวยั่วยวน ถอดเสื้อผ้าในลีลาต่าง ๆ โดยแอบอ้างว่าเป็นตัวเอง จากนั้นจะหลอกให้เหยื่อโชว์เรือนร่างเหมือนที่ตัวเองทำ และเมื่อใดที่เหยื่อหลงเชื่อ คนร้ายจะใช้โปรแกรมอัดภาพผ่านกล้อง วิดีโอที่ถูกส่งกลับมาเอาไว้ เพื่อนำไปจำหน่ายต่อเป็น “คลิปวิดีโอ” ในรูปแบบ “โชว์เสียว” ต่าง ๆ เชื่อเหลือเกินว่ามีเหยื่อหลายต่อหลายราย ที่ถูกหลอกลวงและยังไม่รู้ตัว ดังนั้น จึงขอให้ใช้โปรแกรมแชตผ่านอินเทอร์เน็ตเหล่านี้ให้ถูกจุดประสงค์ และหากต้องการจะหาเพื่อนผ่านการพูดคุยทางอินเทอร์เน็ตจริง ๆ พึงระวังภัยเหล่านี้เอาไว้ให้มาก ก่อนที่จะพลั้งพลาดตกเป็นเหยื่อรายต่อไป.

ภัยแก๊งต้มตุ๋น
ขึ้นชื่อว่ามีรายชื่อในบัญชีดำ หรือ “แบล็ก ลิสต์” คดียาเสพติดแล้ว หลายคนคงถึงกับขยาด เนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา การปราบปรามอย่างจริงจัง และ “รุนแรง” ของรัฐบาลชุดก่อน ทำเอาทั้งกลุ่มผู้ค้ายานรกและคนที่พัวพันต่างขยาดไปตาม ๆ กัน เพราะหวั่นเกรงว่าจะถูกตัดตอน ซึ่ง “ภัยใกล้ตัว” ในวันนี้ ขอฉายภาพไปยังพฤติกรรมโฉดของแก๊งมิจฉาชีพ ที่ใช้การแอบอ้างหลอกลวงเหยื่อว่าถูกออกหมายจับตามบัญชีดำในคดียา เสพติดและฟอกเงิน หากต้องการลบชื่อออกจากสารบบแล้ว จะต้องโอนเงินมาให้ โดยคนร้ายอาจหาญถึงขั้นใช้ “ศาลอาญา” ถนนรัชดาฯ ก่อเหตุเลยทีเดียว

นางจิราวรรณ สุญาณวนิชกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า แก๊งต้มตุ๋นจะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวน คดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระดับ “พ.ต.อ.” หลอกผู้เสียหายว่า มีชื่อติดอยู่ในแบล็กลิสต์ เหยื่อรายล่าสุดเป็นถึงญาติของผู้พิพากษาศาลอาญา รวมถึงชาวบ้านใน จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าทางศาลอาญาไม่ได้ออกหมายจับกุมญาติผู้พิพากษาและประชาชนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใด จึงเร่งประสานไปยังดีเอสไอให้สืบสวนจับกุมขบวนการคนร้ายอย่างเร่งด่วน.

ภัยพี่เลี้ยงเด็ก
อาชีพ “พี่เลี้ยงเด็ก” เพิ่มบทบาทมากขึ้นในสังคมยุคปัจจุบัน เนื่องจากหลายครอบครัว ที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเวลาที่จะดูแลลูกน้อยด้วยตัวเอง จึงจำเป็นต้องใช้บริการพี่เลี้ยงเด็กเหล่านี้ มาช่วยแบ่งเบาภาระจากญาติผู้ใหญ่ ที่ไม่พ้นจะเป็นปู่ย่าตายายของเจ้าตัวเล็กนั่นเอง แต่หลายครอบครัว เลือกจะใช้พี่เลี้ยงเด็กราคาถูก ซึ่งโดยมากแล้วมักเป็นแรงงานต่างด้าว อาทิ ชาวพม่าหรือกะเหรี่ยง ซึ่งถือเป็นภัยใกล้ตัวในอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจับตามอง

มิจฉาชีพแรงงานต่างด้าวบางราย โดยมากแล้วเป็นหญิง จะอาศัยคราบพี่เลี้ยงเด็กแฝงตัวเข้ามารับจ้างเลี้ยงดูเด็กตามประกาศหางานต่าง ๆ เมื่อทำงานไปสักระยะจนที่บ้านของเหยื่อตายใจแล้ว แรงงานเหล่านี้ มักจะฉวยลักเอาลูกน้อยของเจ้าของบ้าน ส่งต่อให้กับเพื่อนร่วมขบวนการค้ามนุษย์ เพื่อนำไปเป็นแรงงานเด็ก หรือส่งจำหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ร้าย ที่สุดหนูน้อยเหล่านี้อาจต้องตกเข้าไปในวังวนของ ธุรกิจค้ากามเด็ก ซึ่งถือเป็นภัยที่ต้องเฝ้าระวังอย่าง ใกล้ชิด

การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวที่มาทำงานเช่นการออกใบอนุญาตทำงานให้ หรือการให้นายจ้างนำไปขึ้นทะเบียนต่างด้าวเป็นวิธีหนึ่งที่ป้องกันได้อย่างดี เพราะจะได้รู้ที่มาที่ไปของแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ รวมไปถึงการทำงานในเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ เช่นการสืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับแหล่งพบปะของแรงงานต่างด้าว อาทิ สวนลุมพินี หรือย่านบางบอน พระรามสอง เพื่อติด ตามจับกุมขบวนการคนร้ายได้อย่างทันท่วงที หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น.

แก๊งฉกตรารถยนต์
หากเอ่ยถึงสถานที่ซึ่งเอื้อต่อการก่ออาชญากรรมในลำดับต้น ๆ แล้วละก็ เชื่อเหลือเกินว่า “ลานจอดรถ” ในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ย่อมมีชื่อติดอยู่ในอันดับ “ท็อปไฟว์” อย่างแน่นอน ซึ่ง “ภัยใกล้ตัว” จะขอฉายภาพไปยังลานจอดรถภายในห้างสรรพสินค้า ที่ขณะนี้ เหล่ามิจฉาชีพเลือกที่จะก่อเหตุลักทรัพย์ในรูป แบบใหม่ คือ การลักเอาตรารถยนต์ยี่ห้อดังต่าง ๆ อาทิ เบนซ์, วอลโว่ หรือรถที่นำเข้าจากต่างประเทศต่าง ๆ เพื่อนำไปจำหน่ายต่อยังตลาดมืด อาทิ ย่านเชียงกง หรือคลองถม

แต่ก่อนที่มีแก๊ง “ตบหัวเบนซ์” อาละวาดอยู่พักหนึ่งและเริ่มซาลงไป ซึ่งอาจเป็นผลจากการที่เจ้าหน้าที่กวดขันจับกุมอย่างจริงจัง แต่ขณะนี้แก๊งวายร้ายนี้ได้กลับมาก่อเหตุอย่างฮึกเหิมมากกว่าเก่า โดยเฉพาะในพื้นที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าดัง ย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งทรัพย์สินที่คนร้ายได้ไปนั้น อาจเป็นเพียงแค่ตราหรือสัญลักษณ์ของรถยี่ห้อดังต่าง ๆ แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ มีความต้องการ “ซื้อ” ในตลาดมืดอยู่มากพอสมควร ซ้ำร้ายที่แย่กว่านั้น หากวายร้ายแก๊งนี้ เกิดเห็นทรัพย์สินมีค่าอื่นที่เจ้าของทิ้งไว้ภายในรถอาจทุบกระจกชิงไป หรืออาจซุ่มดักรอเหยื่อเจ้าของรถยนต์หรูเหล่านี้เพื่อชิงทรัพย์ ซึ่งหากเหยื่อเป็นผู้หญิง ไม่มีใครรู้ว่าวายร้ายกลุ่มนี้จะเหิมเกริมลงมือก่อเหตุในรูปแบบใดขึ้น

สิ่งหนึ่งที่สามารถป้องกันได้คือหากเป็นไปได้แล้วควรเลือกจอดรถบริเวณใกล้กับปากประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็เป็นที่ที่มีแสงสว่างสาดส่องอย่าง ทั่วถึง ใกล้กับจุดรักษาความปลอดภัยของยาม หรือ กล้องวงจรปิดของทางห้าง เชื่อว่าแก๊งอาชญากรรมกลุ่มนี้ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงที่จะก่อเหตุตามจุดดังกล่าว เหนือสิ่งอื่นใดแล้วคือความรอบคอบและมีสติอยู่ตลอดเวลา.

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

การทำงานของคอมพิวเตอร์

1. อะไรเปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ เพราะเหตุใด
ตอบ CPU หรือหน่วยประมวลผลกลาง เปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ เพระา ทำหน้าที่ประมวลข้อมูล และควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์

2. หน่วยแสดงผลคืออะไร มีกี่แบบ
ตอบ หน่วยแสดง คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล มี 2 แบบ คือ
1. แสดงผลบนจอภาพ
2. แสดงผลทางเครื่องพิมพ์


3. หน่วยความจำหลัก แบ่งได้กี่ประเภท อธิบายมาพอเข้าใจ
ตอบ หน่วยความจำหลัก เป็นหน่วยควสามจำที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ
1. รอม - ใช้ประจุโปรแกรมสำคัญที่ใช้ในการสตาร์ทอัพเครื่อง
- เก็บโปรแกรมคำสั่งไว้อย่างถาวร
2. แรม - ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่รับเข้ามาจากหน่วยรับข้อมูล
- เก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล


4. อธิบายเกี่ยวกับ Mainboard มาพอสังเขป
ตอบ Mainboard หรือ แผงวงจรหลักใช้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์

เศรษฐกิจแบบพอเพียง

เศรษฐกิจแบบพอเพียง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าพระราชหฤทัยในความเป็นไปของเมืองไทยและคนไทยอย่างลึกซึ้งและกว้างไกล ได้ทรงวางรากฐานในการพัฒนาชนบท และช่วยเหลือประชาชนให้สามารถพึ่งตนเองได้มีความ " พออยู่พอกิน" และมีความอิสระที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องติดยึดอยู่กับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ ทรงวิเคราะห์ว่าหากประชาชนพึ่งตนเองได้แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้างประเทศชาติโดยส่วนรวมได้ในที่สุด พระราชดำรัสที่สะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์ในการสร้างความเข้มแข็งในตนเองของประชาชนและสามารถทำมาหากินให้พออยู่พอกินได้ ดังนี้


"….ในการสร้างถนน สร้างชลประทานให้ประชาชนใช้นั้น จะต้องช่วยประชาชนในทางบุคคลหรือพัฒนาให้บุคคลมีความรู้และอนามัยแข็งแรง ด้วยการให้การศึกษาและการรักษาอนามัย เพื่อให้ประชาชนในท้องที่สามารถทำการเกษตรได้ และค้าขายได้…"


ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงขึ้นนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจได้ชัดเจนในแนวพระราชดำริของ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งได้ทรงคิดและตระหนักมาช้านาน เพราะหากเราไม่ไปพี่งพา ยึดติดอยู่กับกระแสจากภายนอกมากเกินไป จนได้ครอบงำความคิดในลักษณะดั้งเดิมแบบไทยๆไปหมด มีแต่ความทะเยอทะยานบนรากฐานที่ไม่มั่นคงเหมือนลักษณะฟองสบู่ วิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้น หรือไม่หนักหนาสาหัสจนเกิดความเดือดร้อนกันถ้วนทั่วเช่นนี้ ดังนั้น "เศรษฐกิจพอเพียง" จึงได้สื่อความหมาย ความสำคัญในฐานะเป็นหลักการสังคมที่พึงยึดถือ


ในทางปฏิบัติจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทั้งหลักการและกระบวนการทางสังคม ตั้งแต่ขั้นฟื้นฟูและขยายเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพออยู่พอกินขึ้นไปถึงขั้นแปรรูปอุตสาหกรรมครัวเรือน สร้างอาชีพและทักษะวิชาการที่หลากหลายเกิดตลาดซื้อขาย สะสมทุน ฯลฯ บนพื้นฐานเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนนี้ เศรษฐกิจของ 3 ชาติ จะพัฒนาขึ้นมาอย่างมั่นคงทั้งในด้านกำลังทุนและตลาดภายในประเทศ รวมทั้งเทคโนโลยีซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ภายในชาติ และทั้งที่จะพึงคัดสรรเรียนรู้จากโลกภายนอก


เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจที่พอเพียงกับตัวเอง ทำให้อยู่ได้ ไม่ต้องเดือดร้อน มีสิ่งจำเป็นที่ทำได้โดยตัวเองไม่ต้องแข่งขันกับใคร และมีเหลือเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่มี อันนำไปสู่การแลกเปลี่ยนในชุมชน และขยายไปจนสามารถที่จะเป็นสินค้าส่งออก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจระบบเปิดที่เริ่มจากตนเองและความร่วมมือ วิธีการเช่นนี้จะดึงศักยภาพของ ประชากรออกมาสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว ซึ่งมีความผู้พันกับ “จิตวิญญาณ” คือ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า”

ในระบบเศรษฐกิจพอเพียงจะจัดลำดับความสำคัญของ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” มูลค่านั้นขาดจิตวิญญาณ เพราะเป็นเศรษฐกิจภาคการเงิน ที่เน้นที่จะตอบสนองต่อความต้องการที่ไม่จำกัดซึ่งไร้ขอบเขต ถ้าไม่สามารถควบคุมได้การใช้ทรัพยากรอย่างทำลายล้างจะรวดเร็วขึ้นและปัญหาจะตามมา เป็นการบริโภคที่ก่อให้เกิดความทุกข์หรือพาไปหาความทุกข์ และจะไม่มีโอกาสบรรลุวัตถุประสงค์ในการบริโภค ที่จะก่อให้ความพอใจและความสุข (Maximization of Satisfaction) ผู้บริโภคต้องใช้หลักขาดทุนคือกำไร (Our loss is our gain) อย่างนี้จะควบคุมความต้องการที่ไม่จำกัดได้ และสามารถจะลดความต้องการลงมาได้ ก่อให้เกิดความพอใจและความสุขเท่ากับได้ตระหนักในเรื่อง “คุณค่า” จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ ไม่ต้องไปหาวิธีทำลายทรัพยากรเพื่อให้เกิดรายได้มาจัดสรรสิ่งที่เป็น “ความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด” และขจัดความสำคัญของ “เงิน” ในรูปรายได้ที่เป็นตัวกำหนดการบริโภคลงได้ระดับหนึ่ง แล้วยังเป็นตัวแปรที่ไปลดภาระของกลไกของตลาดและการพึ่งพิงกลไกของตลาด ซึ่งบุคคลโดยทั่วไปไม่สามารถจะควบคุมได้ รวมทั้งได้มีส่วนในการป้องกันการบริโภคเลียนแบบ (Demonstration Effects) จะไม่ทำให้เกิดการสูญเสีย จะทำให้ไม่เกิดการบริโภคเกิน (Over Consumption) ซึ่งก่อให้เกิดสภาพเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน

การบริโภคที่ฉลาดดังกล่าวจะช่วยป้องกันการขาดแคลน แม้จะไม่ร่ำรวยรวดเร็ว แต่ในยามปกติก็จะทำให้ร่ำรวยมากขึ้น ในยามทุกข์ภัยก็ไม่ขาดแคลน และสามารถจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า โดยไม่ต้องหวังความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากเกินไป เพราะฉะนั้นความพอมีพอกินจะสามารถอุ้มชูตัวได้ ทำให้เกิดความเข้มแข็ง และความพอเพียงนั้นไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง แต่มีการแลกเปลี่ยนกันได้ระหว่างหมู่บ้าน เมือง และแม้กระทั่งระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือการบริโภคนั้นจะทำให้เกิดความรู้ที่จะอยู่ร่วมกับระบบ รักธรรมชาติ ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง เพราะไม่ต้องทิ้งถิ่นไปหางานทำ เพื่อหารายได้มาเพื่อการบริโภคที่ไม่เพียงพอ

ประเทศไทยอุดมไปด้วยทรัพยากรและยังมีพอสำหรับประชาชนไทยถ้ามีการจัดสรรที่ดี โดยยึด " คุณค่า " มากกว่า " มูลค่า " ยึดความสัมพันธ์ของ “บุคคล” กับ “ระบบ” และปรับความต้องการที่ไม่จำกัดลงมาให้ได้ตามหลักขาดทุนเพื่อกำไร และอาศัยความร่วมมือเพื่อให้เกิดครอบครัวที่เข้มแข็งอันเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบสังคม

การผลิตจะเสียค่าใช้จ่ายลดลงถ้ารู้จักนำเอาสิ่งที่มีอยู่ในขบวนการธรรมชาติมาปรุงแต่ง ตามแนวพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วซึ่งสรุปเป็นคำพูดที่เหมาะสมตามที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม ตินณสูลานนท์ ที่ว่า “…ทรงปลูกแผ่นดิน ปลูกความสุข ปลดความทุกข์ของราษฎร” ในการผลิตนั้นจะต้องทำด้วยความรอบคอบไม่เห็นแก่ได้ จะต้องคิดถึงปัจจัยที่มีและประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้อง มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาอย่างเช่นบางคนมีโอกาสทำโครงการแต่ไม่ได้คำนึงว่าปัจจัยต่าง ๆ ไม่ครบ ปัจจัยหนึ่งคือขนาดของโรงงาน หรือเครื่องจักรที่สามารถที่จะปฏิบัติได้ แต่ข้อสำคัญที่สุด คือวัตถุดิบ ถ้าไม่สามารถที่จะให้ค่าตอบแทนวัตถุดิบแก่เกษตรกรที่เหมาะสม เกษตรกรก็จะไม่ผลิต ยิ่งถ้าใช้วัตถุดิบสำหรับใช้ในโรงงานั้น เป็นวัตถุดิบที่จะต้องนำมาจากระยะไกล หรือนำเข้าก็จะยิ่งยาก เพราะว่าวัตถุดิบที่นำเข้านั้นราคายิ่งแพง บางปีวัตถุดิบมีบริบูรณ์ ราคาอาจจะต่ำลงมา แต่เวลาจะขายสิ่งของที่ผลิตจากโรงงานก็ขายยากเหมือนกัน เพราะมีมากจึงทำให้ราคาตก หรือกรณีใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร เกษตรกรรู้ดีว่าเทคโนโลยีทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และผลผลิตที่เพิ่มนั้นจะล้นตลาด ขายได้ในราคาที่ลดลง ทำให้ขาดทุน ต้องเป็นหนี้สิน


การผลิตตามทฤษฎีใหม่สามารถเป็นต้นแบบการคิดในการผลิตที่ดีได้ ดังนี้

1. การผลิตนั้นมุ่งใช้เป็นอาหารประจำวันของครอบครัว เพื่อให้มีพอเพียงในการบริโภคตลอดปี เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันและเพื่อจำหน่าย
2. การผลิตต้องอาศัยปัจจัยในการผลิต ซึ่งจะต้องเตรียมให้พร้อม เช่น การเกษตรต้องมีน้ำ การจัดให้มีและดูแหล่งน้ำ จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการผลิต และประโยชน์ใช้สอยอื่น ๆ
3. ปัจจัยประกอบอื่น ๆ ที่จะอำนวยให้การผลิตดำเนินไปด้วยดี และเกิดประโยชน์เชื่อมโยง (Linkage) ที่จะไปเสริมให้เกิดความยั่งยืนในการผลิต จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายทั้ง เกษตรกร ธุรกิจ ภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับเศรษฐกิจการค้า และให้ดำเนินกิจการควบคู่ไปด้วยกันได้

การผลิตจะต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” การผลิตนั้นต้องยึดมั่นในเรื่องของ “คุณค่า” ให้มากกว่า “มูลค่า” ดังพระราชดำรัส ซึ่งได้นำเสนอมาก่อนหน้านี้ที่ว่า

“…บารมีนั้น คือ ทำความดี เปรียบเทียบกับธนาคาร …ถ้าเราสะสมเงินให้มากเราก็สามารถที่จะใช้ดอกเบี้ย ใช้เงินที่เป็นดอกเบี้ย โดยไม่แตะต้องทุนแต่ถ้าเราใช้มากเกิดไป หรือเราไม่ระวัง เรากิน เข้าไปในทุน ทุนมันก็น้อยลง ๆ จนหมด …ไปเบิกเกินบัญชีเขาก็ต้องเอาเรื่อง ฟ้องเราให้ล้มละลาย เราอย่าไปเบิกเกินบารมีที่บ้านเมือง ที่ประเทศได้สร้างสมเอาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราให้เกินไป เราต้องทำบ้าง หรือเพิ่มพูนให้ประเทศของเราปกติมีอนาคตที่มั่นคง บรรพบุรุษของเราแต่โบราณกาล ได้สร้างบ้านเมืองมาจนถึงเราแล้ว ในสมัยนี้ที่เรากำลังเสียขวัญ กลัว จะได้ไม่ต้องกลัว ถ้าเราไม่รักษาไว้…”

การจัดสรรทรัพยากรมาใช้เพื่อการผลิตที่คำนึงถึง “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” เป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ทำลายทั้งทุนสังคมและทุนเศรษฐกิจ นอกจากนี้จะต้องไม่ติดตำรา สร้างความรู้ รัก สามัคคี และความร่วมมือร่วมแรงใจ มองกาลไกลและมีระบบสนับสนุนที่เป็นไปได้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกฝังแนวพระราชดำริให้ประชาชนยอมรับไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยให้วงจรการพัฒนาดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ กล่าวคือ

ทรงสร้างความตระหนักแก่ประชาชนให้รับรู้ (Awareness) ในทุกคราเมื่อ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนในทุกภูมิภาคต่าง ๆ จะทรงมีพระราชปฏิสันถารให้ประชาชนได้รับทราบถึงสิ่งที่ควรรู้ เช่น การปลูกหญ้าแฝกจะช่วยป้องกันดินพังทลาย และใช้ปุ๋ยธรรมชาติจะช่วยประหยัดและบำรุงดิน การแก้ไขดินเปรี้ยวในภาคใต้สามารถกระทำได้ การ ตัดไม้ทำลายป่าจะทำให้ฝนแล้ง เป็นต้น ตัวอย่างพระราชดำรัสที่เกี่ยวกับการสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชน ได้แก่

“….ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาไว้ ไม่ทำให้ประเทศไทยเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทราย ก็ป้องกัน ทำได้….”

ทรงสร้างความสนใจแก่ประชาชน (Interest) หลายท่านคงได้ยินหรือรับฟัง โครงการอันเนื่อง มาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีนามเรียกขานแปลกหู ชวนฉงน น่าสนใจติดตามอยู่เสมอ เช่น โครงการแก้มลิง โครงการแกล้งดิน โครงการเส้นทางเกลือ โครงการน้ำดีไล่น้ำเสีย หรือโครงการน้ำสามรส ฯลฯ เหล่านี้ เป็นต้น ล้วนเชิญชวนให้ ติดตามอย่างใกล้ชิด แต่พระองค์ก็จะมีพระราชาธิบายแต่ละโครงการอย่างละเอียด เป็นที่เข้าใจง่ายรวดเร็วแก่ประชาชนทั้งประเทศ

ในประการต่อมา ทรงให้เวลาในการประเมินค่าหรือประเมินผล (Evaluate) ด้วยการศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ว่าโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร สามารถนำไปปฏิบัติได้ในส่วนของตนเองหรือไม่ ซึ่งยังคงยึดแนวทางที่ให้ประชาชนเลือกการพัฒนาด้วยตนเอง ที่ว่า
“….ขอให้ถือว่าการงานที่จะทำนั้นต้องการเวลา เป็นงานที่มีผู้ดำเนินมาก่อนแล้ว ท่านเป็นผู้ที่จะเข้าไปเสริมกำลัง จึงต้องมีความอดทนที่จะเข้าไปร่วมมือกับผู้อื่น ต้องปรองดองกับเขาให้ได้ แม้เห็นว่ามีจุดหนึ่งจุดใดต้องแก้ไขปรับปรุงก็ต้องค่อยพยายามแก้ไขไปตามที่ถูกที่ควร….”

ในขั้นทดลอง (Trial) เพื่อทดสอบว่างานในพระราชดำริที่ทรงแนะนำนั้นจะได้ผลหรือไม่ซึ่งในบางกรณีหากมีการทดลองไม่แน่ชัดก็ทรงมักจะมิให้เผยแพร่แก่ประชาชน หากมีผลการทดลองจนแน่พระราชหฤทัยแล้วจึงจะออกไปสู่สาธารณชนได้ เช่น ทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำนั้น ได้มีการค้นคว้าหาความเหมาะสมและความเป็นไปได้จนทั่วทั้งประเทศว่าดียิ่งจึงนำออกเผยแพร่แก่ประชาชน เป็นต้น

ขั้นยอมรับ (Adoption) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น เมื่อผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน บ่ม เพาะ และมีการทดลองมาเป็นเวลานาน ตลอดจนทรงให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริและสถานที่อื่น ๆ เป็นแหล่งสาธิตที่ประชาชนสามารถเข้าไปศึกษาดูได้ถึงตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ดังนั้น แนวพระราชดำริของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ราษฎรสามารถพิสูจน์ได้ว่าจะได้รับผลดีต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของตนได้อย่างไร

แนวพระราชดำริทั้งหลายดังกล่าวข้างต้นนี้ แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระสติปัญญา ตรากตรำพระวรกาย เพื่อค้นคว้าหาแนวทางการพัฒนาให้พสกนิกรทั้งหลายได้มีความร่มเย็นเป็นสุขสถาพรยั่งยืนนาน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่ได้พระราชทานแก่ปวงไทยตลอดเวลามากกว่า 50 ปี จึงกล่าวได้ว่าพระราชกรณียกิจของพระองค์นั้นสมควรอย่งยิ่งที่ทวยราษฎรจักได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ตามที่ทรงแนะนำ สั่งสอน อบรมและวางแนวทางไว้เพื่อให้เกิดการอยู่ดีมีสุขโดยถ้วนเช่นกัน โดยการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขึ้นตอนต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตาหลักวิชาการ เพื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริม ความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับ จะก่อให้เกิดความยั่งยืนและจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของครอบครัว ชุมชน และสังคม สุดท้ายเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน

ประการที่สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง

1. พอมีพอกิน ปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลังบ้าน 2-3 ต้น พอที่จะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึงขายไป
2. พออยู่พอใช้ ทำให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กลิ่นเหม็น ใช้แต่ของที่เป็นธรรมชาติ (ใช้จุลินทรีย์ผสมน้ำถูพื้นบ้าน จะสะอาดกว่าใช้น้ำยาเคมี) รายจ่ายลดลง สุขภาพจะดีขึ้น (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล)
3. พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มีเช่นผู้อื่น เพราะเราจะหลงติดกับวัตถุ ปัญญาจะไม่เกิด

" การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง "


"เศรษฐกิจพอเพียง" จะสำเร็จได้ด้วย "ความพอดีของตน"

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

สำหรับแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง

สำหรับแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง
แม่เป็นผู้มีพระคุณต่อผมมาก ซึ่งพระคุณของท่านผมไม่สามารถทดแทนหมด ซึ่งเราจะเอานำมหาสมุทมาวัดก็

เที่ยบไม่ได้กับพระคุณของท่าน ท่านเลี้ยงเรามาจนเติบโต ท่านเป็นทั้งธนาคารให้เราเบิกได้ตลอดเวลาที่เรา

ต้องการ คอยเป็นกำลังใจให้เราเสมอมา ไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์ท่านก็จะอยู่กับเราคอยเป็นกำลังใจ และอยู่

เบื่องหลังความสำเร็จของเรา ซึ่งเราจะประสบความเร็จไม่ได้ถ้าเราไม่มีกำลังใจที่ดี และสิ่งหนึ่งที่สามารถสู้

ทนกับสิ่งต่างๆได้ นั่นก็คือ "คนที่เรารัก" เวลาอยู่ด้วยกันก็จะทำให้มีความรู้สึกดี อยู่ไกลๆเเล้วมีความสุข นั่น

ก็คือ "แฟน" ชึ่งบางคนอาจจะเห็นแฟนดีกว่าแม่ของตน ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดนะครับ เพราะยังไงซะนั่นก็คือ

แม่ของเรา ไม่ว่าเราจะเป็นยังไงจะดี หรือชั่วแม่ก็รักเราเสมอ คำว่า" แม่ "ไม่มีอะไรมาตัดขาดได้จากคำว่า"

ลูก"
ดังนั้นเราเป็นลูกเราควรตอบแทนพระคุณท่าน ไม่ควรทำให้ท่านเสียใจเพราะเรา ถ้าเราทำอะไรให้ท่านเสียใจ

เราก็ขอโทษท่านเถอะครับ
แม่ก็เป็นผู้มีพระคุณากสำหรับเรา ท่านได้ให้กำเนิดเราและได้เลี้ยงดูเรามาจนเติบโต ท่านได้เลี้ยงดูเราไม่ให้

สิ่งใดมาทำร้ายเราได้
คอยเป็นเพื่อนเวลาเหงา คอยเป็นกำลังใจเวลาเราท้อ

คอยปรอบใจเวลาสิ้นหวัง คอยเช็ดนำตาเวลาร้องให้
คอยให้ในสิ่งที่เราขอ คอยรอเวลาเราช้า
คอยพายเวลาเราพัก คอยตักเตืนนเวลาเราพลั้ง
คอยผลักเวลาเรา
ล้ม


.....พระคุณแม่..ยิ่งใหญ่หาใครเปรียบ


ใครจะเทียบความรักนี้...หามีไม่


ลูกคนนี้จะอยู่..เป็นญาใจ


จะถนอมรัก..แม่..ไว้ตลอดกาล


.....รักอะไรไหนเทียบเปรียบแม่รัก
ลูกประจักษ์แก่ใจหาใครเหมือน

ตั้งแต่เล็กแม่เราเฝ้าคอยเตือน
ไม่ลืมเลือนรักลูกด้วยผูกพัน....

....ลูกยื่นให้ "มะลินัอย" ที่ร้อยรัก
กราบที่ตักด้วยรักแม่ไม่แปรผัน

บอกแม่ว่ารักแม่ล้นพ้นรำพัน

กระบวนการเด็กแนว

กระผม... พัทราภรณ์...พันธ์วิไล... เลขที่... 33... ชั้น... ม.4/2...
เรียนอยู่ที่... โรงเรียนอาเวมารีอา... ครูประจำชั้นชื่อ... ครูนพวรรณ...อธิจันทรรัตน์...
และ... คุณครูคงศักดิ์... โพธิดอก...
ครูผู้สอน... ครูวีระชน... ไพสาทย์... วิชาที่ชอบ... พละ,ศิลปะ...
กีฬาที่ชอบ... บาสเกตบอล...อาหารที่ชอบ... ข้าวผัด,ไข่โพล้...
สีทีชอบ... ดำ,แดง...
สำหรับกระบวนการเด็กแนวเด็กแนวของเราถ้าหากวัยรุ่นสามารถปฎิบัติได้ก็จะเป็นการดีมากเลย กระบวนการนี้ก็คือ "การทำความดีเพื่อสังคม"นี่แหละครับกระบนนการของเรา