จาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (1)
การป้องกันและการลักทรัพย์ในที่พักอาศัย
ข่าวคราวขโมยขึ้นบ้านลักทรัพย์มีทุกวัน ท่านควรจะดูแลที่พักอาศัยให้อยู่ในสภาพมิดชิด ไม่เป็นสิ่งล่อใจให้คนร้ายกระทำการในบ้านท่านได้ คือ
ตัวบ้าน
การป้องกันภัยที่ดีควรเริ่มจากการมีบ้านที่ปลอดภัย หมั่นตรวจตราอุปกรณ์ของบ้านอย่างเคร่งครัด ไม่ปล่อยปละละเลยจนคนร้ายสามารถงัดแงะเข้ามาได้ง่าย จึงโปรดสละเวลาเพียงเล็กน้อยแล้วปฏิบัติดังนี้
รั้วบ้านควรทำให้สูงและแข็งแรง สำหรับบ้านสองชั้นที่ต่อเนื่องกับครัวควรทำประตูให้แน่นหนา-กลอนประตูควรเลือกชนิดที่มั่นคงแข็งแรงหน้าต่างประตูทุกบานควรติดลูกกรงเหล็ก-ติดตั้งสวิตช์ไฟทุกชนิดไว้หน้าบ้าน ควรเลี้ยงสุนัขไว้ส่งเสียงดังช่วยเตือนภัย หรือติดตั้งสัญญาณไซเรน-ที่ว่างเปล่าที่ติดกับบ้าน ไม่ควรปล่อยให้มีต้นไม้ขึ้นสูง เพราะคนร้ายอาจใช้กำบังตัว อยู่บ้านอย่างไรให้อุ่นใจ
ก่อนเปิดประตูบ้านรับใคร ควรดูให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีคนแปลกหน้าหรือไม่
เมื่อมีคนโทรศัพท์มาถามว่ามีใครอยู่บ้านหรือไม่ อาจเป็นการหาโอกาสของคนร้าย ให้ตอบว่าอยู่กันหลายคน
ควรอธิบายแก่คนใช้หรือผู้อื่นให้ทราบถึงกลอุบายต่าง ๆ ของคนร้าย เพื่อเป็นการป้องกันอย่าให้หลงเชื่อคนร้าย
ก่อนออกจากบ้านควรปิดประตู หน้าต่าง ใส่กุญแจให้เรียบร้อย
หยุดบอกรับหนังสือพิมพ์ขณะไม่อยู่
กลางคืน ควรรูดม่านปิดไม่ให้คนภายนอกมองเห็นด้านใน- ให้ความร่วมมือกับเพื่อนบ้านในการสอดส่องดูแลชุมชน จัดเวรยามหมู่บ้านคอยดูแลเหตุร้าย.
การป้องกันการข่มขืนกระทำชำเรา
เรื่องนี้ถือเป็นภัยมืดต่อผู้หญิงที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ใครจะรู้ว่าบนถนนที่ทอดยาว จะแฝงเร้นด้วยภัยร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด สตรีเพศทั้งหลายจึงควรระลึกเสมอ 1. ไม่ควรเดินทางคนเดียวโดยลำพังตามตรอกซอกซอยที่เปลี่ยวมืด ควรหาเพื่อนร่วมเดินทางด้วย 2. อย่าแต่งตัวโป๊ หรือโชว์สัดส่วนมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดการถูกข่มขืนกระทำชำเรา หรืออนาจาร ขึ้นได้ 3. ไม่ควรขึ้นรถยนต์หรือจักรยานยนต์ เมื่อมีคนแปลกหน้าชวนให้ขึ้น 4. เมื่อมีคนมาตีสนิททำนองเคยรู้จักกันมาก่อน ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยรู้จัก ก็ควรหลีกเลี่ยงบุคคลเช่นนี้ ถ้าเป็นไปได้ให้ร้องขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่อยู่ใกล้เคียง 5. พยายามหลีกเลี่ยงงานสังสรรค์กลางคืน นอกจากจะมีคนสนิท รือญาติมาคอยรับส่ง 6. เมื่อมีความจำเป็นต้องออกนอกบ้านในตอนกลางคืน ควรบอกให้ทางบ้านทราบว่าจะไปที่ไหน ไปพบใคร อย่างไร และกลับเมื่อไหร่ ที่สำคัญควรพกบัตรประจำตัวประชาชนทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน.
กู้ด่วนดอกโหด
ที่ผ่านมาได้มี ส.ส.ท่านหนึ่ง พร้อมด้วยทนายความ นำผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิดกับขบวนการปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านบัตรเครดิตและคิดดอกเบี้ยโหดเกินกว่าอัตรากฎหมายกำหนด โดยเจ้าทุกข์ได้นำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนายหน้า หรือนายทุน ในการปล่อยเงินกู้ โดยกลุ่มคนพวกนี้จะใช้วิธีติดประกาศตามที่สาธารณะว่าหากใครเดือดร้อนต้องการกู้เงินให้โทรศัพท์ไปตามหมายเลขที่ให้ไว้ หลอกว่าดอกเบี้ยต่ำแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อมีคนไปกู้เงินกลับเสียดอกกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อาทิ ผู้กู้ต้องการกู้เงิน 15,000 บาท จะต้องเอาบัตรเครดิตไปให้นายทุนรูดซื้อของมาในราคา 15,000 บาท แต่กลับให้เงินกู้แค่ 10,000 บาท ทำให้ผู้กู้ต้องไปใช้หนี้บัตรเครดิตเป็นจำนวนเต็ม 15,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ย ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน.
ภัยก๊อบเอทีเอ็ม
“ภัยใกล้ตัว” ประเดิมปี “หมู” ขอแฉเรื่องราวกรรมวิธีของแก๊งคนร้าย “ก๊อบบัตร เอทีเอ็ม” ที่ทุกวันนี้ ได้อาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาใช้หากินกันอย่างที่หลายคนคาด ไม่ถึงเลยทีเดียว เพราะคนร้ายได้พัฒนาวิธีนำ “เครื่องดูดข้อมูล” จากบัตรเอทีเอ็มของเหยื่อไปติดไว้ที่เครื่องเอทีเอ็ม แถมยังใช้ “กล้องวงจรปิด” มีรัศมีส่งในระยะใกล้ สอดส่องดูข้อมูลรหัสบัตรที่เหยื่อใช้กดเงิน ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าว มีการเผยแพร่กรรมวิธีแก๊งคนร้ายทางอินเทอร์เน็ต แฉขั้นตอนวิธีลงมือต่าง ๆ อย่างละเอียดยิบ
เริ่มจาก “เครื่องดูดข้อมูล” จากบัตร อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ คนร้ายจะออกแบบให้มีสีเหมือนกับตู้เอทีเอ็มแต่ละแห่ง จากนั้นจะนำไปติดสวมรอยไว้ที่ช่องเสียบบัตร ซึ่งมีความแนบเนียนเป็นอย่างสูง หากไม่สังเกตแทบจะไม่มีทางรู้ ขณะเดียวกัน คนร้ายจะนำกล่องขนาดเล็กที่ใช้เสียบแผ่นพับโฆษณาต่าง ๆ ไปติดไว้ด้านข้าง ซึ่งภายในกล่องนี้ คนร้ายได้บรรจุเอา “กล้องวงจรปิด” ที่ใช้ส่องจับภาพบริเวณแป้นกดตัวเลข ที่เหยื่อใช้กดรหัสเอทีเอ็ม โดยกล้องดังกล่าวมีกำลัง รับ-ส่ง ในระยะใกล้ ๆ คนร้ายจะคอยบันทึกข้อมูลของเหยื่อเพื่อนำไปใช้ปลอมแปลงบัตร เบิกเงินเหยื่อมาใช้จ่าย
ธนาคารในประเทศไทยหลายแห่ง รับทราบถึงกลโกงคนร้าย จึงออกมาตรการป้องกันด้วยการห้ามติดกล่องโฆษณาภายในตู้เอทีเอ็มอย่างเด็ดขาด ดังนั้น ประชาชนทั่วไปที่มีความจำเป็นต้องเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็ม และพบความไม่ชอบมาพากลเหล่านี้ ขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการกดเงิน พร้อมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารเข้าทำการตรวจสอบ ก่อนจะพลาดพลั้ง ตกเป็นเหยื่อแก๊งวายร้าย กลุ่มนี้ !.
ภัยเว็บแคม
นับถอยหลังอีกไม่กี่วันจากนี้ ก็จะย่างเข้าสู่ปีใหม่ พ.ศ. 2550 ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ ๆ ย่อมก้าวหน้าขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะในแวดวง “อินเทอร์เน็ต” ที่การสนทนา หรือ “แชต” ผ่านคอมพิวเตอร์ ผ่านโปรแกรมดังต่าง ๆ อาทิ “เอ็มเอสเอ็น” กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก “ภัยใกล้ตัว” ในวันนี้ จะฉายภาพให้เห็นถึงความน่ากลัวของโปรแกรมแชตเหล่านี้ ที่ปัจจุบัน สามารถสนทนาผ่านทางกล้องวิดีโอ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “เว็บแคม” ที่สามารถพูดคุยและเห็นหน้า กิริยาท่าทางของอีกฝ่ายได้ทุกอิริยาบถ สิ่งเหล่านี้ “มิจฉาชีพ” ได้อาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มาใช้หากินกันนักต่อนัก
มิจฉาชีพทั้งชายและหญิง จะใช้เว็บแคมหลอกทำทีมาพูดคุยกับเหยื่อผ่านโปรแกรมแชต ที่โดยมากแล้ว จะเป็นเหยื่อสาวอายุน้อย ๆ จากนั้นจะใช้โปรแกรม “SplitCam” เปิดวิดีโอ ซึ่งเป็นภาพหญิงสาวยั่วยวน ถอดเสื้อผ้าในลีลาต่าง ๆ โดยแอบอ้างว่าเป็นตัวเอง จากนั้นจะหลอกให้เหยื่อโชว์เรือนร่างเหมือนที่ตัวเองทำ และเมื่อใดที่เหยื่อหลงเชื่อ คนร้ายจะใช้โปรแกรมอัดภาพผ่านกล้อง วิดีโอที่ถูกส่งกลับมาเอาไว้ เพื่อนำไปจำหน่ายต่อเป็น “คลิปวิดีโอ” ในรูปแบบ “โชว์เสียว” ต่าง ๆ เชื่อเหลือเกินว่ามีเหยื่อหลายต่อหลายราย ที่ถูกหลอกลวงและยังไม่รู้ตัว ดังนั้น จึงขอให้ใช้โปรแกรมแชตผ่านอินเทอร์เน็ตเหล่านี้ให้ถูกจุดประสงค์ และหากต้องการจะหาเพื่อนผ่านการพูดคุยทางอินเทอร์เน็ตจริง ๆ พึงระวังภัยเหล่านี้เอาไว้ให้มาก ก่อนที่จะพลั้งพลาดตกเป็นเหยื่อรายต่อไป.
ภัยแก๊งต้มตุ๋น
ขึ้นชื่อว่ามีรายชื่อในบัญชีดำ หรือ “แบล็ก ลิสต์” คดียาเสพติดแล้ว หลายคนคงถึงกับขยาด เนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา การปราบปรามอย่างจริงจัง และ “รุนแรง” ของรัฐบาลชุดก่อน ทำเอาทั้งกลุ่มผู้ค้ายานรกและคนที่พัวพันต่างขยาดไปตาม ๆ กัน เพราะหวั่นเกรงว่าจะถูกตัดตอน ซึ่ง “ภัยใกล้ตัว” ในวันนี้ ขอฉายภาพไปยังพฤติกรรมโฉดของแก๊งมิจฉาชีพ ที่ใช้การแอบอ้างหลอกลวงเหยื่อว่าถูกออกหมายจับตามบัญชีดำในคดียา เสพติดและฟอกเงิน หากต้องการลบชื่อออกจากสารบบแล้ว จะต้องโอนเงินมาให้ โดยคนร้ายอาจหาญถึงขั้นใช้ “ศาลอาญา” ถนนรัชดาฯ ก่อเหตุเลยทีเดียว
นางจิราวรรณ สุญาณวนิชกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า แก๊งต้มตุ๋นจะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวน คดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระดับ “พ.ต.อ.” หลอกผู้เสียหายว่า มีชื่อติดอยู่ในแบล็กลิสต์ เหยื่อรายล่าสุดเป็นถึงญาติของผู้พิพากษาศาลอาญา รวมถึงชาวบ้านใน จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าทางศาลอาญาไม่ได้ออกหมายจับกุมญาติผู้พิพากษาและประชาชนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใด จึงเร่งประสานไปยังดีเอสไอให้สืบสวนจับกุมขบวนการคนร้ายอย่างเร่งด่วน.
ภัยพี่เลี้ยงเด็ก
อาชีพ “พี่เลี้ยงเด็ก” เพิ่มบทบาทมากขึ้นในสังคมยุคปัจจุบัน เนื่องจากหลายครอบครัว ที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเวลาที่จะดูแลลูกน้อยด้วยตัวเอง จึงจำเป็นต้องใช้บริการพี่เลี้ยงเด็กเหล่านี้ มาช่วยแบ่งเบาภาระจากญาติผู้ใหญ่ ที่ไม่พ้นจะเป็นปู่ย่าตายายของเจ้าตัวเล็กนั่นเอง แต่หลายครอบครัว เลือกจะใช้พี่เลี้ยงเด็กราคาถูก ซึ่งโดยมากแล้วมักเป็นแรงงานต่างด้าว อาทิ ชาวพม่าหรือกะเหรี่ยง ซึ่งถือเป็นภัยใกล้ตัวในอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจับตามอง
มิจฉาชีพแรงงานต่างด้าวบางราย โดยมากแล้วเป็นหญิง จะอาศัยคราบพี่เลี้ยงเด็กแฝงตัวเข้ามารับจ้างเลี้ยงดูเด็กตามประกาศหางานต่าง ๆ เมื่อทำงานไปสักระยะจนที่บ้านของเหยื่อตายใจแล้ว แรงงานเหล่านี้ มักจะฉวยลักเอาลูกน้อยของเจ้าของบ้าน ส่งต่อให้กับเพื่อนร่วมขบวนการค้ามนุษย์ เพื่อนำไปเป็นแรงงานเด็ก หรือส่งจำหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ร้าย ที่สุดหนูน้อยเหล่านี้อาจต้องตกเข้าไปในวังวนของ ธุรกิจค้ากามเด็ก ซึ่งถือเป็นภัยที่ต้องเฝ้าระวังอย่าง ใกล้ชิด
การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวที่มาทำงานเช่นการออกใบอนุญาตทำงานให้ หรือการให้นายจ้างนำไปขึ้นทะเบียนต่างด้าวเป็นวิธีหนึ่งที่ป้องกันได้อย่างดี เพราะจะได้รู้ที่มาที่ไปของแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ รวมไปถึงการทำงานในเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ เช่นการสืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับแหล่งพบปะของแรงงานต่างด้าว อาทิ สวนลุมพินี หรือย่านบางบอน พระรามสอง เพื่อติด ตามจับกุมขบวนการคนร้ายได้อย่างทันท่วงที หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น.
แก๊งฉกตรารถยนต์
หากเอ่ยถึงสถานที่ซึ่งเอื้อต่อการก่ออาชญากรรมในลำดับต้น ๆ แล้วละก็ เชื่อเหลือเกินว่า “ลานจอดรถ” ในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ย่อมมีชื่อติดอยู่ในอันดับ “ท็อปไฟว์” อย่างแน่นอน ซึ่ง “ภัยใกล้ตัว” จะขอฉายภาพไปยังลานจอดรถภายในห้างสรรพสินค้า ที่ขณะนี้ เหล่ามิจฉาชีพเลือกที่จะก่อเหตุลักทรัพย์ในรูป แบบใหม่ คือ การลักเอาตรารถยนต์ยี่ห้อดังต่าง ๆ อาทิ เบนซ์, วอลโว่ หรือรถที่นำเข้าจากต่างประเทศต่าง ๆ เพื่อนำไปจำหน่ายต่อยังตลาดมืด อาทิ ย่านเชียงกง หรือคลองถม
แต่ก่อนที่มีแก๊ง “ตบหัวเบนซ์” อาละวาดอยู่พักหนึ่งและเริ่มซาลงไป ซึ่งอาจเป็นผลจากการที่เจ้าหน้าที่กวดขันจับกุมอย่างจริงจัง แต่ขณะนี้แก๊งวายร้ายนี้ได้กลับมาก่อเหตุอย่างฮึกเหิมมากกว่าเก่า โดยเฉพาะในพื้นที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าดัง ย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งทรัพย์สินที่คนร้ายได้ไปนั้น อาจเป็นเพียงแค่ตราหรือสัญลักษณ์ของรถยี่ห้อดังต่าง ๆ แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ มีความต้องการ “ซื้อ” ในตลาดมืดอยู่มากพอสมควร ซ้ำร้ายที่แย่กว่านั้น หากวายร้ายแก๊งนี้ เกิดเห็นทรัพย์สินมีค่าอื่นที่เจ้าของทิ้งไว้ภายในรถอาจทุบกระจกชิงไป หรืออาจซุ่มดักรอเหยื่อเจ้าของรถยนต์หรูเหล่านี้เพื่อชิงทรัพย์ ซึ่งหากเหยื่อเป็นผู้หญิง ไม่มีใครรู้ว่าวายร้ายกลุ่มนี้จะเหิมเกริมลงมือก่อเหตุในรูปแบบใดขึ้น
สิ่งหนึ่งที่สามารถป้องกันได้คือหากเป็นไปได้แล้วควรเลือกจอดรถบริเวณใกล้กับปากประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็เป็นที่ที่มีแสงสว่างสาดส่องอย่าง ทั่วถึง ใกล้กับจุดรักษาความปลอดภัยของยาม หรือ กล้องวงจรปิดของทางห้าง เชื่อว่าแก๊งอาชญากรรมกลุ่มนี้ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงที่จะก่อเหตุตามจุดดังกล่าว เหนือสิ่งอื่นใดแล้วคือความรอบคอบและมีสติอยู่ตลอดเวลา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น