วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อมูลท่องเที่ยว เชียงใหม่

ข้อมูลท่องเที่ยว เชียงใหม่

ข้อมูลที่ควรทราบ ข้อมูลทั่วไป สถานที่ท่องเที่ยว การเดินทาง ร้านอาหาร แผนที่ เทศกาลและงานประเพณี
ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผาชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์

ข้อมูลทั่วไป

นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ หรือเวียงพิงค์ ก่อตั้งโดยพญามังรายมหาราชปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายเมื่อพ.ศ. 1839 ราชวงศ์นี้ได้ปกครองต่อมาอีก 200 ปี เมืองนี้จึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าในปีพ.ศ. 2101 ต่อมาในปีพ.ศ. 2317 พระเจ้าตากสินมหาราชมาขับไล่พม่าจนพ่ายแพ้ไป เชียงใหม่จึงรวมเข้าในอาณาจักรสยามนับแต่นั้นมา ต่อมาในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเชียงใหม่มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช และเมื่อมีการปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาค ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เชียงใหม่เปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลพายัพ และเป็นจังหวัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันเชียงใหม่นับเป็นเมืองใหญ่และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเมืองที่รวบรวมศิลปกรรม โบราณวัตถุ ตลอดจนวัฒนธรรมดั้งเดิมของล้านนาไทยเอาไว้ โดยทั่วไปแล้วพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่เป็นป่าละเมาะและภูเขา มีที่ราบอยู่ตอนกลางตามสองฟากฝั่งแม่น้ำปิง

การเดินทาง
รถยนต์
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 (สายเอเซีย) ผ่านอยุธยา อ่างทอง นครสวรรค์ หลังจากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 117 ไปยังพิษณุโลก ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 11 ผ่านลำปาง ลำพูน ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 695 กิโลเมตร อีกทางหนึ่งคือจากนครสวรรค์ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านกำแพงเพชร ตาก และลำปาง ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 696 กิโลเมตร

รถประจำทาง
มีรถประจำทางปรับอากาศสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวันๆละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร. 0 2936 2852 – 66 และที่เชียงใหม่ โทร. 0 5324 1449, 0 5324 2664 หรือดูใน www.transport.co.th บริษัทที่มีบริการเดินรถ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ได้แก่ ทันจิตต์ทัวร์ โทร. 0 2936 3210, นครชัยแอร์ โทร. 0 2936 3901, 0 2936 3355 นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ โทร. 0 2936 2207, สมบัติทัวร์ โทร. 0 2936 3355, สหชาญทัวร์ โทร. 0 2936 2762, สยามเฟิสท์ทัวร์ โทร. 0 2954 3601-7

รถไฟ
มีรถด่วน และรถเร็ว ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ทุกวัน สอบถามรายละเอียดได้ที่หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 0 2223 7010, 0 2223 7020, 1690 สถานีรถไฟเชียงใหม่ โทร. 0 5324 2094 และ www.railway.co.th

เครื่องบิน
บริษัทการบินไทย จำกัด บินประจำระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง สำรองที่นั่ง โทร. 0 2280 0060, 0 2628 2000 สอบถามรายละเอียด โทร. 1566 สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0 5321 0043-4 และ www.thaiairways.com และบริษัทบางกอกแอร์เวย์ จำกัด บริการเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-สุโขทัย-เชียงใหม่ โทร. 0 2265 5555, 0 2265 5678 และ www.bangkokair.com นอกจากนี้สายการบินภูเก็ตแอร์ บริการเที่ยวบิน เชียงใหม่-เชียงราย-อุดรธานีทุกวัน สอบถามรายละเอียดที่ภูเก็ตแอร์สถานีเชียงใหม่ โทร. 0 5392 2118 หรือ www.phuketairlines.com และสายการบินโอเรียนท์ไทย บริการเที่ยวบิกกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวันสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0 2267 299 สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0 5390 4606 หรือ www.onetwo-go.com สายการบินนกแอร์ เปิดบริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวัน รายละเอียดสอบถามศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1318 หรือ www.nokair.co.th นอกจากนี้บริษัท ไทยแอร์เอเชีย มีบริการเที่ยวบินระหว่าง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ สอบถามรายละเอียด โทร.0 2515 9999 หรือ www.airasia.com

การเดินทางในตัวจังหวัด
ท่ารถถนนช้างเผือกมีรถโดยสารประจำทางไปยังอำเภอต่างๆ ในเชียงใหม่

เทศกาลและงานประเพณีต่างๆ

งานร่มบ่อสร้าง
จัดขึ้นประมาณเดือนมกราคมของทุกปี ที่บริเวณศูนย์หัตถกรรมร่มบ่อสร้าง มีการแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากกระดาษสา โดยเฉพาะร่มบ่อสร้าง มีการแสดงทางวัฒนธรรม ขบวนแห่ ประเพณีพื้นบ้าน และการประกวดต่างๆ

งานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ
จัดขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ ในงานจัดให้มีการประกวดสวนหย่อมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ภาคเช้าของงานจะจัดให้มีขบวนรถบุปผชาติ และนางงามบุปผชาติ แห่จากบริเวณหน้าสถานีรถไฟ ผ่านสะพานนวรัฐไปสู่สวนสาธารณะหนองบวกหาด

งานประเพณีสงกรานต์
จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดงานประเพณีสงกรานต์ขึ้นเป็นประจำทุกปี ในระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน โดยในวันที่ 13 จะเป็นวันมหาสงกรานต์ มีขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์ และขบวนแห่นางสงกรานต์ โดยเริ่มจากวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร แห่ไปรอบเมืองเชียงใหม่ แล้วมีพิธีสรงน้ำพระ ก่อพระเจดีย์ทราย รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำกัน

งานประเพณียี่เป็ง
จัดขึ้นในช่วงวันลอยกระทงของทุกปี เป็นงานประเพณีที่น่าสนใจยิ่งของจังหวัดเชียงใหม่ จะมีการปล่อยโคมลอยเพื่อเป็นการบูชาพระธาตุจุฬามณีบนสวรรค์ มีการจุดดอกไม้ไฟ ประกวดกระทง ขบวนแห่นางนพมาศ ฯลฯ

ประเพณีเข้าอินทขีล
ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ชาวเชียงใหม่จะร่วมกันประกอบพิธีบูชาอินทขีล ซึ่งเป็นเสาหลักเมือง โดยจำนำดอกไม้ธูปเทียนมาใส่ขันหรือถาดกราบไหว้บูชาอินทขีล

ประเพณีตานหลัวพระเจ้า
เป็นประเพณีการนำฟืนมาเผาเพื่อให้พระพุทธเจ้าได้ผิงไฟ จัดในเดือน 4 เหนือ (ประมาณเดือนมกราคม) จัดที่วัดยางหลวงหรือวัดป่าแดด อำเภอแม่แจ่มเท่านั้น

จุลกฐิน
หลังจากผ่านเทศกาลออกพรรษาแล้วยังมีกฐินที่เรียกว่า จุลกฐิน หรือที่คนโบราณเรียกว่า “กฐินแล่น” ที่มีลักษณะพิเศษ คือ ไม่ใช่ถึงเวลาก็สามารถไปทอดที่วัดได้ หากแต่คิดจะร่วมจุลกฐินแล้ว ต้องเตรียมตัวก่อนเข้าพรรษาด้วยซ้ำไป โดยเริ่มตั้งแต่ ปลูกฝ้าย ดูแลรักษาให้งอกงามจนต้นฝ้ายโตแตกเป็นปุย พอดีเมื่อถึงเวลาทอดกฐิน

สาวพรหมจรรย์ 6 นาง นุ่งขาว ห่มขาว ฟ้อนรำจากวิหารออกไปสู่ไร่ฝ้าย เพื่อเก็บมาให้ชาวบ้านช่วยกันดีดฝ้ายจนฟู นำมาปั่นเป็นหลอดเป็นเส้นใย แล้วทอย้อมสีให้เสร็จ ผึ่งแดดให้แห้ง รีดให้เรียบเพียงชั่วข้ามคืน

ตอนบ่ายตั้งขบวนด้วยความเริงรื่น ปลื้มใจที่ถวายกฐินเสร็จ จากนั้นแห่ผ่านทุ่งนา ด้วยกลองสะบัดชัย ตามด้วยการฟ้อนเจิง ศิลปะเก่าแก่ของพ่อเฒ่า มาถวายที่วัดยางหลวง วัดเก่าแก่ของ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

รู้ทันภัยใกล้ตัว

จาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (1)

การป้องกันและการลักทรัพย์ในที่พักอาศัย
ข่าวคราวขโมยขึ้นบ้านลักทรัพย์มีทุกวัน ท่านควรจะดูแลที่พักอาศัยให้อยู่ในสภาพมิดชิด ไม่เป็นสิ่งล่อใจให้คนร้ายกระทำการในบ้านท่านได้ คือ

ตัวบ้าน

การป้องกันภัยที่ดีควรเริ่มจากการมีบ้านที่ปลอดภัย หมั่นตรวจตราอุปกรณ์ของบ้านอย่างเคร่งครัด ไม่ปล่อยปละละเลยจนคนร้ายสามารถงัดแงะเข้ามาได้ง่าย จึงโปรดสละเวลาเพียงเล็กน้อยแล้วปฏิบัติดังนี้
รั้วบ้านควรทำให้สูงและแข็งแรง สำหรับบ้านสองชั้นที่ต่อเนื่องกับครัวควรทำประตูให้แน่นหนา-กลอนประตูควรเลือกชนิดที่มั่นคงแข็งแรงหน้าต่างประตูทุกบานควรติดลูกกรงเหล็ก-ติดตั้งสวิตช์ไฟทุกชนิดไว้หน้าบ้าน ควรเลี้ยงสุนัขไว้ส่งเสียงดังช่วยเตือนภัย หรือติดตั้งสัญญาณไซเรน-ที่ว่างเปล่าที่ติดกับบ้าน ไม่ควรปล่อยให้มีต้นไม้ขึ้นสูง เพราะคนร้ายอาจใช้กำบังตัว อยู่บ้านอย่างไรให้อุ่นใจ
ก่อนเปิดประตูบ้านรับใคร ควรดูให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีคนแปลกหน้าหรือไม่
เมื่อมีคนโทรศัพท์มาถามว่ามีใครอยู่บ้านหรือไม่ อาจเป็นการหาโอกาสของคนร้าย ให้ตอบว่าอยู่กันหลายคน
ควรอธิบายแก่คนใช้หรือผู้อื่นให้ทราบถึงกลอุบายต่าง ๆ ของคนร้าย เพื่อเป็นการป้องกันอย่าให้หลงเชื่อคนร้าย
ก่อนออกจากบ้านควรปิดประตู หน้าต่าง ใส่กุญแจให้เรียบร้อย
หยุดบอกรับหนังสือพิมพ์ขณะไม่อยู่
กลางคืน ควรรูดม่านปิดไม่ให้คนภายนอกมองเห็นด้านใน- ให้ความร่วมมือกับเพื่อนบ้านในการสอดส่องดูแลชุมชน จัดเวรยามหมู่บ้านคอยดูแลเหตุร้าย.

การป้องกันการข่มขืนกระทำชำเรา
เรื่องนี้ถือเป็นภัยมืดต่อผู้หญิงที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ใครจะรู้ว่าบนถนนที่ทอดยาว จะแฝงเร้นด้วยภัยร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด สตรีเพศทั้งหลายจึงควรระลึกเสมอ 1. ไม่ควรเดินทางคนเดียวโดยลำพังตามตรอกซอกซอยที่เปลี่ยวมืด ควรหาเพื่อนร่วมเดินทางด้วย 2. อย่าแต่งตัวโป๊ หรือโชว์สัดส่วนมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดการถูกข่มขืนกระทำชำเรา หรืออนาจาร ขึ้นได้ 3. ไม่ควรขึ้นรถยนต์หรือจักรยานยนต์ เมื่อมีคนแปลกหน้าชวนให้ขึ้น 4. เมื่อมีคนมาตีสนิททำนองเคยรู้จักกันมาก่อน ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยรู้จัก ก็ควรหลีกเลี่ยงบุคคลเช่นนี้ ถ้าเป็นไปได้ให้ร้องขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่อยู่ใกล้เคียง 5. พยายามหลีกเลี่ยงงานสังสรรค์กลางคืน นอกจากจะมีคนสนิท รือญาติมาคอยรับส่ง 6. เมื่อมีความจำเป็นต้องออกนอกบ้านในตอนกลางคืน ควรบอกให้ทางบ้านทราบว่าจะไปที่ไหน ไปพบใคร อย่างไร และกลับเมื่อไหร่ ที่สำคัญควรพกบัตรประจำตัวประชาชนทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน.


กู้ด่วนดอกโหด
ที่ผ่านมาได้มี ส.ส.ท่านหนึ่ง พร้อมด้วยทนายความ นำผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิดกับขบวนการปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านบัตรเครดิตและคิดดอกเบี้ยโหดเกินกว่าอัตรากฎหมายกำหนด โดยเจ้าทุกข์ได้นำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนายหน้า หรือนายทุน ในการปล่อยเงินกู้ โดยกลุ่มคนพวกนี้จะใช้วิธีติดประกาศตามที่สาธารณะว่าหากใครเดือดร้อนต้องการกู้เงินให้โทรศัพท์ไปตามหมายเลขที่ให้ไว้ หลอกว่าดอกเบี้ยต่ำแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อมีคนไปกู้เงินกลับเสียดอกกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อาทิ ผู้กู้ต้องการกู้เงิน 15,000 บาท จะต้องเอาบัตรเครดิตไปให้นายทุนรูดซื้อของมาในราคา 15,000 บาท แต่กลับให้เงินกู้แค่ 10,000 บาท ทำให้ผู้กู้ต้องไปใช้หนี้บัตรเครดิตเป็นจำนวนเต็ม 15,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ย ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน.



ภัยก๊อบเอทีเอ็ม
“ภัยใกล้ตัว” ประเดิมปี “หมู” ขอแฉเรื่องราวกรรมวิธีของแก๊งคนร้าย “ก๊อบบัตร เอทีเอ็ม” ที่ทุกวันนี้ ได้อาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาใช้หากินกันอย่างที่หลายคนคาด ไม่ถึงเลยทีเดียว เพราะคนร้ายได้พัฒนาวิธีนำ “เครื่องดูดข้อมูล” จากบัตรเอทีเอ็มของเหยื่อไปติดไว้ที่เครื่องเอทีเอ็ม แถมยังใช้ “กล้องวงจรปิด” มีรัศมีส่งในระยะใกล้ สอดส่องดูข้อมูลรหัสบัตรที่เหยื่อใช้กดเงิน ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าว มีการเผยแพร่กรรมวิธีแก๊งคนร้ายทางอินเทอร์เน็ต แฉขั้นตอนวิธีลงมือต่าง ๆ อย่างละเอียดยิบ

เริ่มจาก “เครื่องดูดข้อมูล” จากบัตร อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ คนร้ายจะออกแบบให้มีสีเหมือนกับตู้เอทีเอ็มแต่ละแห่ง จากนั้นจะนำไปติดสวมรอยไว้ที่ช่องเสียบบัตร ซึ่งมีความแนบเนียนเป็นอย่างสูง หากไม่สังเกตแทบจะไม่มีทางรู้ ขณะเดียวกัน คนร้ายจะนำกล่องขนาดเล็กที่ใช้เสียบแผ่นพับโฆษณาต่าง ๆ ไปติดไว้ด้านข้าง ซึ่งภายในกล่องนี้ คนร้ายได้บรรจุเอา “กล้องวงจรปิด” ที่ใช้ส่องจับภาพบริเวณแป้นกดตัวเลข ที่เหยื่อใช้กดรหัสเอทีเอ็ม โดยกล้องดังกล่าวมีกำลัง รับ-ส่ง ในระยะใกล้ ๆ คนร้ายจะคอยบันทึกข้อมูลของเหยื่อเพื่อนำไปใช้ปลอมแปลงบัตร เบิกเงินเหยื่อมาใช้จ่าย

ธนาคารในประเทศไทยหลายแห่ง รับทราบถึงกลโกงคนร้าย จึงออกมาตรการป้องกันด้วยการห้ามติดกล่องโฆษณาภายในตู้เอทีเอ็มอย่างเด็ดขาด ดังนั้น ประชาชนทั่วไปที่มีความจำเป็นต้องเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็ม และพบความไม่ชอบมาพากลเหล่านี้ ขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการกดเงิน พร้อมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารเข้าทำการตรวจสอบ ก่อนจะพลาดพลั้ง ตกเป็นเหยื่อแก๊งวายร้าย กลุ่มนี้ !.


ภัยเว็บแคม
นับถอยหลังอีกไม่กี่วันจากนี้ ก็จะย่างเข้าสู่ปีใหม่ พ.ศ. 2550 ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ ๆ ย่อมก้าวหน้าขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะในแวดวง “อินเทอร์เน็ต” ที่การสนทนา หรือ “แชต” ผ่านคอมพิวเตอร์ ผ่านโปรแกรมดังต่าง ๆ อาทิ “เอ็มเอสเอ็น” กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก “ภัยใกล้ตัว” ในวันนี้ จะฉายภาพให้เห็นถึงความน่ากลัวของโปรแกรมแชตเหล่านี้ ที่ปัจจุบัน สามารถสนทนาผ่านทางกล้องวิดีโอ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “เว็บแคม” ที่สามารถพูดคุยและเห็นหน้า กิริยาท่าทางของอีกฝ่ายได้ทุกอิริยาบถ สิ่งเหล่านี้ “มิจฉาชีพ” ได้อาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มาใช้หากินกันนักต่อนัก

มิจฉาชีพทั้งชายและหญิง จะใช้เว็บแคมหลอกทำทีมาพูดคุยกับเหยื่อผ่านโปรแกรมแชต ที่โดยมากแล้ว จะเป็นเหยื่อสาวอายุน้อย ๆ จากนั้นจะใช้โปรแกรม “SplitCam” เปิดวิดีโอ ซึ่งเป็นภาพหญิงสาวยั่วยวน ถอดเสื้อผ้าในลีลาต่าง ๆ โดยแอบอ้างว่าเป็นตัวเอง จากนั้นจะหลอกให้เหยื่อโชว์เรือนร่างเหมือนที่ตัวเองทำ และเมื่อใดที่เหยื่อหลงเชื่อ คนร้ายจะใช้โปรแกรมอัดภาพผ่านกล้อง วิดีโอที่ถูกส่งกลับมาเอาไว้ เพื่อนำไปจำหน่ายต่อเป็น “คลิปวิดีโอ” ในรูปแบบ “โชว์เสียว” ต่าง ๆ เชื่อเหลือเกินว่ามีเหยื่อหลายต่อหลายราย ที่ถูกหลอกลวงและยังไม่รู้ตัว ดังนั้น จึงขอให้ใช้โปรแกรมแชตผ่านอินเทอร์เน็ตเหล่านี้ให้ถูกจุดประสงค์ และหากต้องการจะหาเพื่อนผ่านการพูดคุยทางอินเทอร์เน็ตจริง ๆ พึงระวังภัยเหล่านี้เอาไว้ให้มาก ก่อนที่จะพลั้งพลาดตกเป็นเหยื่อรายต่อไป.

ภัยแก๊งต้มตุ๋น
ขึ้นชื่อว่ามีรายชื่อในบัญชีดำ หรือ “แบล็ก ลิสต์” คดียาเสพติดแล้ว หลายคนคงถึงกับขยาด เนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา การปราบปรามอย่างจริงจัง และ “รุนแรง” ของรัฐบาลชุดก่อน ทำเอาทั้งกลุ่มผู้ค้ายานรกและคนที่พัวพันต่างขยาดไปตาม ๆ กัน เพราะหวั่นเกรงว่าจะถูกตัดตอน ซึ่ง “ภัยใกล้ตัว” ในวันนี้ ขอฉายภาพไปยังพฤติกรรมโฉดของแก๊งมิจฉาชีพ ที่ใช้การแอบอ้างหลอกลวงเหยื่อว่าถูกออกหมายจับตามบัญชีดำในคดียา เสพติดและฟอกเงิน หากต้องการลบชื่อออกจากสารบบแล้ว จะต้องโอนเงินมาให้ โดยคนร้ายอาจหาญถึงขั้นใช้ “ศาลอาญา” ถนนรัชดาฯ ก่อเหตุเลยทีเดียว

นางจิราวรรณ สุญาณวนิชกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า แก๊งต้มตุ๋นจะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวน คดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระดับ “พ.ต.อ.” หลอกผู้เสียหายว่า มีชื่อติดอยู่ในแบล็กลิสต์ เหยื่อรายล่าสุดเป็นถึงญาติของผู้พิพากษาศาลอาญา รวมถึงชาวบ้านใน จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าทางศาลอาญาไม่ได้ออกหมายจับกุมญาติผู้พิพากษาและประชาชนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใด จึงเร่งประสานไปยังดีเอสไอให้สืบสวนจับกุมขบวนการคนร้ายอย่างเร่งด่วน.

ภัยพี่เลี้ยงเด็ก
อาชีพ “พี่เลี้ยงเด็ก” เพิ่มบทบาทมากขึ้นในสังคมยุคปัจจุบัน เนื่องจากหลายครอบครัว ที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเวลาที่จะดูแลลูกน้อยด้วยตัวเอง จึงจำเป็นต้องใช้บริการพี่เลี้ยงเด็กเหล่านี้ มาช่วยแบ่งเบาภาระจากญาติผู้ใหญ่ ที่ไม่พ้นจะเป็นปู่ย่าตายายของเจ้าตัวเล็กนั่นเอง แต่หลายครอบครัว เลือกจะใช้พี่เลี้ยงเด็กราคาถูก ซึ่งโดยมากแล้วมักเป็นแรงงานต่างด้าว อาทิ ชาวพม่าหรือกะเหรี่ยง ซึ่งถือเป็นภัยใกล้ตัวในอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจับตามอง

มิจฉาชีพแรงงานต่างด้าวบางราย โดยมากแล้วเป็นหญิง จะอาศัยคราบพี่เลี้ยงเด็กแฝงตัวเข้ามารับจ้างเลี้ยงดูเด็กตามประกาศหางานต่าง ๆ เมื่อทำงานไปสักระยะจนที่บ้านของเหยื่อตายใจแล้ว แรงงานเหล่านี้ มักจะฉวยลักเอาลูกน้อยของเจ้าของบ้าน ส่งต่อให้กับเพื่อนร่วมขบวนการค้ามนุษย์ เพื่อนำไปเป็นแรงงานเด็ก หรือส่งจำหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ร้าย ที่สุดหนูน้อยเหล่านี้อาจต้องตกเข้าไปในวังวนของ ธุรกิจค้ากามเด็ก ซึ่งถือเป็นภัยที่ต้องเฝ้าระวังอย่าง ใกล้ชิด

การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวที่มาทำงานเช่นการออกใบอนุญาตทำงานให้ หรือการให้นายจ้างนำไปขึ้นทะเบียนต่างด้าวเป็นวิธีหนึ่งที่ป้องกันได้อย่างดี เพราะจะได้รู้ที่มาที่ไปของแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ รวมไปถึงการทำงานในเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ เช่นการสืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับแหล่งพบปะของแรงงานต่างด้าว อาทิ สวนลุมพินี หรือย่านบางบอน พระรามสอง เพื่อติด ตามจับกุมขบวนการคนร้ายได้อย่างทันท่วงที หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น.

แก๊งฉกตรารถยนต์
หากเอ่ยถึงสถานที่ซึ่งเอื้อต่อการก่ออาชญากรรมในลำดับต้น ๆ แล้วละก็ เชื่อเหลือเกินว่า “ลานจอดรถ” ในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ย่อมมีชื่อติดอยู่ในอันดับ “ท็อปไฟว์” อย่างแน่นอน ซึ่ง “ภัยใกล้ตัว” จะขอฉายภาพไปยังลานจอดรถภายในห้างสรรพสินค้า ที่ขณะนี้ เหล่ามิจฉาชีพเลือกที่จะก่อเหตุลักทรัพย์ในรูป แบบใหม่ คือ การลักเอาตรารถยนต์ยี่ห้อดังต่าง ๆ อาทิ เบนซ์, วอลโว่ หรือรถที่นำเข้าจากต่างประเทศต่าง ๆ เพื่อนำไปจำหน่ายต่อยังตลาดมืด อาทิ ย่านเชียงกง หรือคลองถม

แต่ก่อนที่มีแก๊ง “ตบหัวเบนซ์” อาละวาดอยู่พักหนึ่งและเริ่มซาลงไป ซึ่งอาจเป็นผลจากการที่เจ้าหน้าที่กวดขันจับกุมอย่างจริงจัง แต่ขณะนี้แก๊งวายร้ายนี้ได้กลับมาก่อเหตุอย่างฮึกเหิมมากกว่าเก่า โดยเฉพาะในพื้นที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าดัง ย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งทรัพย์สินที่คนร้ายได้ไปนั้น อาจเป็นเพียงแค่ตราหรือสัญลักษณ์ของรถยี่ห้อดังต่าง ๆ แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ มีความต้องการ “ซื้อ” ในตลาดมืดอยู่มากพอสมควร ซ้ำร้ายที่แย่กว่านั้น หากวายร้ายแก๊งนี้ เกิดเห็นทรัพย์สินมีค่าอื่นที่เจ้าของทิ้งไว้ภายในรถอาจทุบกระจกชิงไป หรืออาจซุ่มดักรอเหยื่อเจ้าของรถยนต์หรูเหล่านี้เพื่อชิงทรัพย์ ซึ่งหากเหยื่อเป็นผู้หญิง ไม่มีใครรู้ว่าวายร้ายกลุ่มนี้จะเหิมเกริมลงมือก่อเหตุในรูปแบบใดขึ้น

สิ่งหนึ่งที่สามารถป้องกันได้คือหากเป็นไปได้แล้วควรเลือกจอดรถบริเวณใกล้กับปากประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็เป็นที่ที่มีแสงสว่างสาดส่องอย่าง ทั่วถึง ใกล้กับจุดรักษาความปลอดภัยของยาม หรือ กล้องวงจรปิดของทางห้าง เชื่อว่าแก๊งอาชญากรรมกลุ่มนี้ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงที่จะก่อเหตุตามจุดดังกล่าว เหนือสิ่งอื่นใดแล้วคือความรอบคอบและมีสติอยู่ตลอดเวลา.

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

การทำงานของคอมพิวเตอร์

1. อะไรเปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ เพราะเหตุใด
ตอบ CPU หรือหน่วยประมวลผลกลาง เปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ เพระา ทำหน้าที่ประมวลข้อมูล และควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์

2. หน่วยแสดงผลคืออะไร มีกี่แบบ
ตอบ หน่วยแสดง คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล มี 2 แบบ คือ
1. แสดงผลบนจอภาพ
2. แสดงผลทางเครื่องพิมพ์


3. หน่วยความจำหลัก แบ่งได้กี่ประเภท อธิบายมาพอเข้าใจ
ตอบ หน่วยความจำหลัก เป็นหน่วยควสามจำที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ
1. รอม - ใช้ประจุโปรแกรมสำคัญที่ใช้ในการสตาร์ทอัพเครื่อง
- เก็บโปรแกรมคำสั่งไว้อย่างถาวร
2. แรม - ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่รับเข้ามาจากหน่วยรับข้อมูล
- เก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล


4. อธิบายเกี่ยวกับ Mainboard มาพอสังเขป
ตอบ Mainboard หรือ แผงวงจรหลักใช้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์

เศรษฐกิจแบบพอเพียง

เศรษฐกิจแบบพอเพียง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าพระราชหฤทัยในความเป็นไปของเมืองไทยและคนไทยอย่างลึกซึ้งและกว้างไกล ได้ทรงวางรากฐานในการพัฒนาชนบท และช่วยเหลือประชาชนให้สามารถพึ่งตนเองได้มีความ " พออยู่พอกิน" และมีความอิสระที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องติดยึดอยู่กับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ ทรงวิเคราะห์ว่าหากประชาชนพึ่งตนเองได้แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้างประเทศชาติโดยส่วนรวมได้ในที่สุด พระราชดำรัสที่สะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์ในการสร้างความเข้มแข็งในตนเองของประชาชนและสามารถทำมาหากินให้พออยู่พอกินได้ ดังนี้


"….ในการสร้างถนน สร้างชลประทานให้ประชาชนใช้นั้น จะต้องช่วยประชาชนในทางบุคคลหรือพัฒนาให้บุคคลมีความรู้และอนามัยแข็งแรง ด้วยการให้การศึกษาและการรักษาอนามัย เพื่อให้ประชาชนในท้องที่สามารถทำการเกษตรได้ และค้าขายได้…"


ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงขึ้นนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจได้ชัดเจนในแนวพระราชดำริของ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งได้ทรงคิดและตระหนักมาช้านาน เพราะหากเราไม่ไปพี่งพา ยึดติดอยู่กับกระแสจากภายนอกมากเกินไป จนได้ครอบงำความคิดในลักษณะดั้งเดิมแบบไทยๆไปหมด มีแต่ความทะเยอทะยานบนรากฐานที่ไม่มั่นคงเหมือนลักษณะฟองสบู่ วิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้น หรือไม่หนักหนาสาหัสจนเกิดความเดือดร้อนกันถ้วนทั่วเช่นนี้ ดังนั้น "เศรษฐกิจพอเพียง" จึงได้สื่อความหมาย ความสำคัญในฐานะเป็นหลักการสังคมที่พึงยึดถือ


ในทางปฏิบัติจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทั้งหลักการและกระบวนการทางสังคม ตั้งแต่ขั้นฟื้นฟูและขยายเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพออยู่พอกินขึ้นไปถึงขั้นแปรรูปอุตสาหกรรมครัวเรือน สร้างอาชีพและทักษะวิชาการที่หลากหลายเกิดตลาดซื้อขาย สะสมทุน ฯลฯ บนพื้นฐานเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนนี้ เศรษฐกิจของ 3 ชาติ จะพัฒนาขึ้นมาอย่างมั่นคงทั้งในด้านกำลังทุนและตลาดภายในประเทศ รวมทั้งเทคโนโลยีซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ภายในชาติ และทั้งที่จะพึงคัดสรรเรียนรู้จากโลกภายนอก


เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจที่พอเพียงกับตัวเอง ทำให้อยู่ได้ ไม่ต้องเดือดร้อน มีสิ่งจำเป็นที่ทำได้โดยตัวเองไม่ต้องแข่งขันกับใคร และมีเหลือเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่มี อันนำไปสู่การแลกเปลี่ยนในชุมชน และขยายไปจนสามารถที่จะเป็นสินค้าส่งออก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจระบบเปิดที่เริ่มจากตนเองและความร่วมมือ วิธีการเช่นนี้จะดึงศักยภาพของ ประชากรออกมาสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว ซึ่งมีความผู้พันกับ “จิตวิญญาณ” คือ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า”

ในระบบเศรษฐกิจพอเพียงจะจัดลำดับความสำคัญของ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” มูลค่านั้นขาดจิตวิญญาณ เพราะเป็นเศรษฐกิจภาคการเงิน ที่เน้นที่จะตอบสนองต่อความต้องการที่ไม่จำกัดซึ่งไร้ขอบเขต ถ้าไม่สามารถควบคุมได้การใช้ทรัพยากรอย่างทำลายล้างจะรวดเร็วขึ้นและปัญหาจะตามมา เป็นการบริโภคที่ก่อให้เกิดความทุกข์หรือพาไปหาความทุกข์ และจะไม่มีโอกาสบรรลุวัตถุประสงค์ในการบริโภค ที่จะก่อให้ความพอใจและความสุข (Maximization of Satisfaction) ผู้บริโภคต้องใช้หลักขาดทุนคือกำไร (Our loss is our gain) อย่างนี้จะควบคุมความต้องการที่ไม่จำกัดได้ และสามารถจะลดความต้องการลงมาได้ ก่อให้เกิดความพอใจและความสุขเท่ากับได้ตระหนักในเรื่อง “คุณค่า” จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ ไม่ต้องไปหาวิธีทำลายทรัพยากรเพื่อให้เกิดรายได้มาจัดสรรสิ่งที่เป็น “ความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด” และขจัดความสำคัญของ “เงิน” ในรูปรายได้ที่เป็นตัวกำหนดการบริโภคลงได้ระดับหนึ่ง แล้วยังเป็นตัวแปรที่ไปลดภาระของกลไกของตลาดและการพึ่งพิงกลไกของตลาด ซึ่งบุคคลโดยทั่วไปไม่สามารถจะควบคุมได้ รวมทั้งได้มีส่วนในการป้องกันการบริโภคเลียนแบบ (Demonstration Effects) จะไม่ทำให้เกิดการสูญเสีย จะทำให้ไม่เกิดการบริโภคเกิน (Over Consumption) ซึ่งก่อให้เกิดสภาพเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน

การบริโภคที่ฉลาดดังกล่าวจะช่วยป้องกันการขาดแคลน แม้จะไม่ร่ำรวยรวดเร็ว แต่ในยามปกติก็จะทำให้ร่ำรวยมากขึ้น ในยามทุกข์ภัยก็ไม่ขาดแคลน และสามารถจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า โดยไม่ต้องหวังความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากเกินไป เพราะฉะนั้นความพอมีพอกินจะสามารถอุ้มชูตัวได้ ทำให้เกิดความเข้มแข็ง และความพอเพียงนั้นไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง แต่มีการแลกเปลี่ยนกันได้ระหว่างหมู่บ้าน เมือง และแม้กระทั่งระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือการบริโภคนั้นจะทำให้เกิดความรู้ที่จะอยู่ร่วมกับระบบ รักธรรมชาติ ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง เพราะไม่ต้องทิ้งถิ่นไปหางานทำ เพื่อหารายได้มาเพื่อการบริโภคที่ไม่เพียงพอ

ประเทศไทยอุดมไปด้วยทรัพยากรและยังมีพอสำหรับประชาชนไทยถ้ามีการจัดสรรที่ดี โดยยึด " คุณค่า " มากกว่า " มูลค่า " ยึดความสัมพันธ์ของ “บุคคล” กับ “ระบบ” และปรับความต้องการที่ไม่จำกัดลงมาให้ได้ตามหลักขาดทุนเพื่อกำไร และอาศัยความร่วมมือเพื่อให้เกิดครอบครัวที่เข้มแข็งอันเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบสังคม

การผลิตจะเสียค่าใช้จ่ายลดลงถ้ารู้จักนำเอาสิ่งที่มีอยู่ในขบวนการธรรมชาติมาปรุงแต่ง ตามแนวพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วซึ่งสรุปเป็นคำพูดที่เหมาะสมตามที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม ตินณสูลานนท์ ที่ว่า “…ทรงปลูกแผ่นดิน ปลูกความสุข ปลดความทุกข์ของราษฎร” ในการผลิตนั้นจะต้องทำด้วยความรอบคอบไม่เห็นแก่ได้ จะต้องคิดถึงปัจจัยที่มีและประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้อง มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาอย่างเช่นบางคนมีโอกาสทำโครงการแต่ไม่ได้คำนึงว่าปัจจัยต่าง ๆ ไม่ครบ ปัจจัยหนึ่งคือขนาดของโรงงาน หรือเครื่องจักรที่สามารถที่จะปฏิบัติได้ แต่ข้อสำคัญที่สุด คือวัตถุดิบ ถ้าไม่สามารถที่จะให้ค่าตอบแทนวัตถุดิบแก่เกษตรกรที่เหมาะสม เกษตรกรก็จะไม่ผลิต ยิ่งถ้าใช้วัตถุดิบสำหรับใช้ในโรงงานั้น เป็นวัตถุดิบที่จะต้องนำมาจากระยะไกล หรือนำเข้าก็จะยิ่งยาก เพราะว่าวัตถุดิบที่นำเข้านั้นราคายิ่งแพง บางปีวัตถุดิบมีบริบูรณ์ ราคาอาจจะต่ำลงมา แต่เวลาจะขายสิ่งของที่ผลิตจากโรงงานก็ขายยากเหมือนกัน เพราะมีมากจึงทำให้ราคาตก หรือกรณีใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร เกษตรกรรู้ดีว่าเทคโนโลยีทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และผลผลิตที่เพิ่มนั้นจะล้นตลาด ขายได้ในราคาที่ลดลง ทำให้ขาดทุน ต้องเป็นหนี้สิน


การผลิตตามทฤษฎีใหม่สามารถเป็นต้นแบบการคิดในการผลิตที่ดีได้ ดังนี้

1. การผลิตนั้นมุ่งใช้เป็นอาหารประจำวันของครอบครัว เพื่อให้มีพอเพียงในการบริโภคตลอดปี เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันและเพื่อจำหน่าย
2. การผลิตต้องอาศัยปัจจัยในการผลิต ซึ่งจะต้องเตรียมให้พร้อม เช่น การเกษตรต้องมีน้ำ การจัดให้มีและดูแหล่งน้ำ จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการผลิต และประโยชน์ใช้สอยอื่น ๆ
3. ปัจจัยประกอบอื่น ๆ ที่จะอำนวยให้การผลิตดำเนินไปด้วยดี และเกิดประโยชน์เชื่อมโยง (Linkage) ที่จะไปเสริมให้เกิดความยั่งยืนในการผลิต จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายทั้ง เกษตรกร ธุรกิจ ภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับเศรษฐกิจการค้า และให้ดำเนินกิจการควบคู่ไปด้วยกันได้

การผลิตจะต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” การผลิตนั้นต้องยึดมั่นในเรื่องของ “คุณค่า” ให้มากกว่า “มูลค่า” ดังพระราชดำรัส ซึ่งได้นำเสนอมาก่อนหน้านี้ที่ว่า

“…บารมีนั้น คือ ทำความดี เปรียบเทียบกับธนาคาร …ถ้าเราสะสมเงินให้มากเราก็สามารถที่จะใช้ดอกเบี้ย ใช้เงินที่เป็นดอกเบี้ย โดยไม่แตะต้องทุนแต่ถ้าเราใช้มากเกิดไป หรือเราไม่ระวัง เรากิน เข้าไปในทุน ทุนมันก็น้อยลง ๆ จนหมด …ไปเบิกเกินบัญชีเขาก็ต้องเอาเรื่อง ฟ้องเราให้ล้มละลาย เราอย่าไปเบิกเกินบารมีที่บ้านเมือง ที่ประเทศได้สร้างสมเอาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราให้เกินไป เราต้องทำบ้าง หรือเพิ่มพูนให้ประเทศของเราปกติมีอนาคตที่มั่นคง บรรพบุรุษของเราแต่โบราณกาล ได้สร้างบ้านเมืองมาจนถึงเราแล้ว ในสมัยนี้ที่เรากำลังเสียขวัญ กลัว จะได้ไม่ต้องกลัว ถ้าเราไม่รักษาไว้…”

การจัดสรรทรัพยากรมาใช้เพื่อการผลิตที่คำนึงถึง “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” เป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ทำลายทั้งทุนสังคมและทุนเศรษฐกิจ นอกจากนี้จะต้องไม่ติดตำรา สร้างความรู้ รัก สามัคคี และความร่วมมือร่วมแรงใจ มองกาลไกลและมีระบบสนับสนุนที่เป็นไปได้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกฝังแนวพระราชดำริให้ประชาชนยอมรับไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยให้วงจรการพัฒนาดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ กล่าวคือ

ทรงสร้างความตระหนักแก่ประชาชนให้รับรู้ (Awareness) ในทุกคราเมื่อ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนในทุกภูมิภาคต่าง ๆ จะทรงมีพระราชปฏิสันถารให้ประชาชนได้รับทราบถึงสิ่งที่ควรรู้ เช่น การปลูกหญ้าแฝกจะช่วยป้องกันดินพังทลาย และใช้ปุ๋ยธรรมชาติจะช่วยประหยัดและบำรุงดิน การแก้ไขดินเปรี้ยวในภาคใต้สามารถกระทำได้ การ ตัดไม้ทำลายป่าจะทำให้ฝนแล้ง เป็นต้น ตัวอย่างพระราชดำรัสที่เกี่ยวกับการสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชน ได้แก่

“….ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาไว้ ไม่ทำให้ประเทศไทยเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทราย ก็ป้องกัน ทำได้….”

ทรงสร้างความสนใจแก่ประชาชน (Interest) หลายท่านคงได้ยินหรือรับฟัง โครงการอันเนื่อง มาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีนามเรียกขานแปลกหู ชวนฉงน น่าสนใจติดตามอยู่เสมอ เช่น โครงการแก้มลิง โครงการแกล้งดิน โครงการเส้นทางเกลือ โครงการน้ำดีไล่น้ำเสีย หรือโครงการน้ำสามรส ฯลฯ เหล่านี้ เป็นต้น ล้วนเชิญชวนให้ ติดตามอย่างใกล้ชิด แต่พระองค์ก็จะมีพระราชาธิบายแต่ละโครงการอย่างละเอียด เป็นที่เข้าใจง่ายรวดเร็วแก่ประชาชนทั้งประเทศ

ในประการต่อมา ทรงให้เวลาในการประเมินค่าหรือประเมินผล (Evaluate) ด้วยการศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ว่าโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร สามารถนำไปปฏิบัติได้ในส่วนของตนเองหรือไม่ ซึ่งยังคงยึดแนวทางที่ให้ประชาชนเลือกการพัฒนาด้วยตนเอง ที่ว่า
“….ขอให้ถือว่าการงานที่จะทำนั้นต้องการเวลา เป็นงานที่มีผู้ดำเนินมาก่อนแล้ว ท่านเป็นผู้ที่จะเข้าไปเสริมกำลัง จึงต้องมีความอดทนที่จะเข้าไปร่วมมือกับผู้อื่น ต้องปรองดองกับเขาให้ได้ แม้เห็นว่ามีจุดหนึ่งจุดใดต้องแก้ไขปรับปรุงก็ต้องค่อยพยายามแก้ไขไปตามที่ถูกที่ควร….”

ในขั้นทดลอง (Trial) เพื่อทดสอบว่างานในพระราชดำริที่ทรงแนะนำนั้นจะได้ผลหรือไม่ซึ่งในบางกรณีหากมีการทดลองไม่แน่ชัดก็ทรงมักจะมิให้เผยแพร่แก่ประชาชน หากมีผลการทดลองจนแน่พระราชหฤทัยแล้วจึงจะออกไปสู่สาธารณชนได้ เช่น ทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำนั้น ได้มีการค้นคว้าหาความเหมาะสมและความเป็นไปได้จนทั่วทั้งประเทศว่าดียิ่งจึงนำออกเผยแพร่แก่ประชาชน เป็นต้น

ขั้นยอมรับ (Adoption) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น เมื่อผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน บ่ม เพาะ และมีการทดลองมาเป็นเวลานาน ตลอดจนทรงให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริและสถานที่อื่น ๆ เป็นแหล่งสาธิตที่ประชาชนสามารถเข้าไปศึกษาดูได้ถึงตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ดังนั้น แนวพระราชดำริของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ราษฎรสามารถพิสูจน์ได้ว่าจะได้รับผลดีต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของตนได้อย่างไร

แนวพระราชดำริทั้งหลายดังกล่าวข้างต้นนี้ แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระสติปัญญา ตรากตรำพระวรกาย เพื่อค้นคว้าหาแนวทางการพัฒนาให้พสกนิกรทั้งหลายได้มีความร่มเย็นเป็นสุขสถาพรยั่งยืนนาน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่ได้พระราชทานแก่ปวงไทยตลอดเวลามากกว่า 50 ปี จึงกล่าวได้ว่าพระราชกรณียกิจของพระองค์นั้นสมควรอย่งยิ่งที่ทวยราษฎรจักได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ตามที่ทรงแนะนำ สั่งสอน อบรมและวางแนวทางไว้เพื่อให้เกิดการอยู่ดีมีสุขโดยถ้วนเช่นกัน โดยการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขึ้นตอนต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตาหลักวิชาการ เพื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริม ความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับ จะก่อให้เกิดความยั่งยืนและจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของครอบครัว ชุมชน และสังคม สุดท้ายเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน

ประการที่สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง

1. พอมีพอกิน ปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลังบ้าน 2-3 ต้น พอที่จะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึงขายไป
2. พออยู่พอใช้ ทำให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กลิ่นเหม็น ใช้แต่ของที่เป็นธรรมชาติ (ใช้จุลินทรีย์ผสมน้ำถูพื้นบ้าน จะสะอาดกว่าใช้น้ำยาเคมี) รายจ่ายลดลง สุขภาพจะดีขึ้น (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล)
3. พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มีเช่นผู้อื่น เพราะเราจะหลงติดกับวัตถุ ปัญญาจะไม่เกิด

" การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง "


"เศรษฐกิจพอเพียง" จะสำเร็จได้ด้วย "ความพอดีของตน"

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

สำหรับแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง

สำหรับแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง
แม่เป็นผู้มีพระคุณต่อผมมาก ซึ่งพระคุณของท่านผมไม่สามารถทดแทนหมด ซึ่งเราจะเอานำมหาสมุทมาวัดก็

เที่ยบไม่ได้กับพระคุณของท่าน ท่านเลี้ยงเรามาจนเติบโต ท่านเป็นทั้งธนาคารให้เราเบิกได้ตลอดเวลาที่เรา

ต้องการ คอยเป็นกำลังใจให้เราเสมอมา ไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์ท่านก็จะอยู่กับเราคอยเป็นกำลังใจ และอยู่

เบื่องหลังความสำเร็จของเรา ซึ่งเราจะประสบความเร็จไม่ได้ถ้าเราไม่มีกำลังใจที่ดี และสิ่งหนึ่งที่สามารถสู้

ทนกับสิ่งต่างๆได้ นั่นก็คือ "คนที่เรารัก" เวลาอยู่ด้วยกันก็จะทำให้มีความรู้สึกดี อยู่ไกลๆเเล้วมีความสุข นั่น

ก็คือ "แฟน" ชึ่งบางคนอาจจะเห็นแฟนดีกว่าแม่ของตน ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดนะครับ เพราะยังไงซะนั่นก็คือ

แม่ของเรา ไม่ว่าเราจะเป็นยังไงจะดี หรือชั่วแม่ก็รักเราเสมอ คำว่า" แม่ "ไม่มีอะไรมาตัดขาดได้จากคำว่า"

ลูก"
ดังนั้นเราเป็นลูกเราควรตอบแทนพระคุณท่าน ไม่ควรทำให้ท่านเสียใจเพราะเรา ถ้าเราทำอะไรให้ท่านเสียใจ

เราก็ขอโทษท่านเถอะครับ
แม่ก็เป็นผู้มีพระคุณากสำหรับเรา ท่านได้ให้กำเนิดเราและได้เลี้ยงดูเรามาจนเติบโต ท่านได้เลี้ยงดูเราไม่ให้

สิ่งใดมาทำร้ายเราได้
คอยเป็นเพื่อนเวลาเหงา คอยเป็นกำลังใจเวลาเราท้อ

คอยปรอบใจเวลาสิ้นหวัง คอยเช็ดนำตาเวลาร้องให้
คอยให้ในสิ่งที่เราขอ คอยรอเวลาเราช้า
คอยพายเวลาเราพัก คอยตักเตืนนเวลาเราพลั้ง
คอยผลักเวลาเรา
ล้ม


.....พระคุณแม่..ยิ่งใหญ่หาใครเปรียบ


ใครจะเทียบความรักนี้...หามีไม่


ลูกคนนี้จะอยู่..เป็นญาใจ


จะถนอมรัก..แม่..ไว้ตลอดกาล


.....รักอะไรไหนเทียบเปรียบแม่รัก
ลูกประจักษ์แก่ใจหาใครเหมือน

ตั้งแต่เล็กแม่เราเฝ้าคอยเตือน
ไม่ลืมเลือนรักลูกด้วยผูกพัน....

....ลูกยื่นให้ "มะลินัอย" ที่ร้อยรัก
กราบที่ตักด้วยรักแม่ไม่แปรผัน

บอกแม่ว่ารักแม่ล้นพ้นรำพัน

กระบวนการเด็กแนว

กระผม... พัทราภรณ์...พันธ์วิไล... เลขที่... 33... ชั้น... ม.4/2...
เรียนอยู่ที่... โรงเรียนอาเวมารีอา... ครูประจำชั้นชื่อ... ครูนพวรรณ...อธิจันทรรัตน์...
และ... คุณครูคงศักดิ์... โพธิดอก...
ครูผู้สอน... ครูวีระชน... ไพสาทย์... วิชาที่ชอบ... พละ,ศิลปะ...
กีฬาที่ชอบ... บาสเกตบอล...อาหารที่ชอบ... ข้าวผัด,ไข่โพล้...
สีทีชอบ... ดำ,แดง...
สำหรับกระบวนการเด็กแนวเด็กแนวของเราถ้าหากวัยรุ่นสามารถปฎิบัติได้ก็จะเป็นการดีมากเลย กระบวนการนี้ก็คือ "การทำความดีเพื่อสังคม"นี่แหละครับกระบนนการของเรา